เรอเนสซองค์ ตอน 5 สรุปเหตุการณ์บ้านเมืองของยุโรปช่วงปลายเรอเนสซองค์

มาสรุปเหตุการณ์บ้านเมืองของยุโรปช่วงปลายเรอเนสซองค์กัน


        เมื่อพระเจ้าเฮนรี่ได้ทรงอภิเษกสมรสอย่างลับๆกับสมเด็จพระราชินีแอนน์ โบลีน หลังจากนั้นไม่นานโธมัส เครนเมอร์ อาร์คบิชอปแห่งเคนเตอร์เบอร์รี่ ได้ประกาศว่า การอภิเษกกับสมเด็จพระราชินีแคทเธอรีน แห่งอรากอนถือเป็นอันโมฆะ และการอภิเษกสมรสกับสมเด็จพระราชินีแอนน์ โบลีนถือเป็นอันถูกต้อง พระเจ้าเฮนรี่ประกาศไม่ขึ้นตรงต่อสันตะปาปาแห่งโรมันคาทอลิก

ภาพพระราชินีแอนโบลีน Anne_boleyn

Thomas Cranmerโธมัส เครนเมอร์ถูกแต่งตั้งให้เป็น อาร์คบิชอปแห่งเคนเตอร์เบอร์รี่ จัดการตั้งนิกายใหม่

   พระนางแคทเทอรีนแห่งอรากอน ต้องถูกขับไล่ไปจากพระราชวังเนื่องจากทรงศรัทธาในโรมันคาทอลิก คริสตจักรแห่งอังกฤษนั้นควบคุมโดยพระเจ้าเฮนรีที่ 8 มิใช่สันตปาปาแห่งโรม เจ้าหญิงแมรี่(ลูกสาวของพระราชินีแคทเธอรีน แห่งอรากอน)ได้กลายเป็นบุตรนอกสมรส ถูกส่งตัว ไปที่อื่นเพื่อให้พระนางแอนน์สบายพระทัย

ภาพแสดงตอนปลดพระนางแคทเทอรีนแห่งอรากอน นางกุมมือของพระเจ้าเฮนรี่ไว้ขณะที่แสดงใบหน้าไม่พอใจ

พระนางแมรี่  ลูกสาวของพระนางเเคทธารีน เเห่งอารากอน เป็นเด็กที่มีความสามารถมากกว่าเด็กวัยเดียวกันพระชนมายุ 5 ชันษา พระองค์ได้ต้อนรับแขกต่างเมืองด้วยการแสดงเล่นเวอร์จินนอล พระเจ้าเฮนรีได้โอ้อวดในแขกผู้มาเยี่ยมว่า เด็กหญิงผู้ไม่เคยร้องไห้

   พระราชอำนาจหลังพระราชบัลลังก์ฉายเด่นชัดจากสมเด็จพระราชินีแอนน์ โบลีน ข้าราชการแบ่งฝักฝ่ายเป็นสองพวกคือ "คนของพระราชา" และ "คนของพระราชินี" แม้จนเมื่อท้ายที่สุดแล้ว สมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 8 จะทรงมีชัยชนะเหนือพระมเหสี สามารถสำเร็จโทษพระนางได้ ด้วยการกล่าวหาว่าพระนางสมสู่กับน้องชายแท้ ๆ ของพระนางเอง พระองค์ถูกกล่าวขานถึงว่า "ราชินีแห่งอังกฤษที่โดดเด่นและสำคัญที่สุดเท่าที่เคยมี"

ภาพวาดขณะไปล่าสัตว์ของพระเจ้าเฮนรี่กับแอนโบลีน ศิลปินภาพสะท้อนว่าทั้งคู่มีอาวุธอยู่ในมือเสมือนมีอันตรายแก่กัน

   หลังจากพระนางแอนน์ โบลีนถูกประหารไปเพียง 2 สัปดาห์ในข้อหาคบชู้ พระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 ได้อภิเษกสมรสใหม่กับสมเด็จพระราชินีเจน เซมัวร์ ผู้ซึ่งสิ้นพระชนม์หลังจากให้กำเนิดโอรส ผู้ซึ่งต่อมาคือซึ่งก็คือ พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 6 แห่งอังกฤษ เมื่อครั้งเจนทรงเริ่มที่จะมีบทบาททางการเมือง หากแต่ทรงถูกเตือนโดยสมเด็จพระเจ้าเฮนรีว่า "อย่าลืมว่าราชินีองค์ก่อนถูกตัดหัวเพียงเพราะวุ่นวายทางการเมือง

พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 6แห่งอังกฤษ

   สมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 8 เสด็จสวรรคต เจ้าชายเอ็ดเวิร์ดก็ได้ขึ้นครองราชย์ และได้เสด็จสวรรคตตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ทรงทำพินัยกรรมให้เลดีเจนเป็นพระราชินีองค์ต่อไป โดยข้ามรัชทายาทอันดับหนึ่ง เจ้าหญิงแมรี และรัชทายาทอันดับสอง เจ้าหญิงเอลิซาเบธ (ลูกสาวคนเดียวของพระราชินีแอนน์ โบลีน) ทำให้เกิดข้อพิพาทขึ้นเกิดเป็น 3 ก๊กอังกฤษ

เจ้าหญิงแมรี่ผู้ฉลาดและเด็ดขาด

เจ้าหญิงเอลิซาเบธ ผู้รอบคอบและอดทน

   สุดท้ายเจ้าหญิงแมรีเป็นฝ่ายชนะ ได้ครองราชย์เป็นสมเด็จพระราชินีนาถแมรีที่ 1 แห่งอังกฤษ และทรงสำเร็จโทษเลดี้เจน เกรย์ ในหอคอยลอนดอน ด้วยการตัดพระเศียร ส่วนเจ้าหญิงอลิซาเบธทรงถูกจำขังอยู่ปีหนึ่ง ในข้อสงสัยว่าทรงมีส่วนร่วมในการสนับสนุนฝ่ายก่อการโปรเตสแตนต์

พระราชินีแมรี่ 1 แห่งอังกฤษ

   พระราชินีแมรี่ 1 แห่งอังกฤษ ได้ปรองดองกับทางโรมและฟื้นฟูนิกายโรมันคาทอลิกอังกฤษ พระนางได้สั่งประหาร โธมัส เครนเมอร์ผู้ซึ่งเห็นชอบกับการหย่าของพระบิดาและพระมารดาของพระนางและดำเนินการเผาเหล่าบุคคลต่างศาสนา ต่างนิกายกว่า 300 คนทั้งเป็น ซึ่งเป็นที่มาของชื่อว่า แมรีบ้าเลือด หรือ แมรีผู้กระหายเลือด (Bloody Mary)




ภาพวาดแสดงทหารสเปนกวาดล้างชาวโปตัสแตนในฮอลแลนด์

   รวมถึงกวาดล้างชาวโปตัสแตนในประเทศแถบนั้นด้วย ภาพวาดแสดงทหารสเปนกวาดล้างชาวโปตัสแตนในฮอลแลนด์ จัดการประชาชนใน Antwerp เมืองแห่งศิลป (เมืองที่ศิลปินหนีออกมา) ชาวโปรเตสแตนต์ที่ร่ำรวยในอังกฤษได้ตัดสินใจออกนอกประเทศ ประมาณ 800 คน พระราชินีแมรี่อภิเษกกับเจ้าชายฟิลิปโอรสของชาร์ลที่5แห่งโรมันทีเป็นญาติเพื่อผนวกอังกฤษกับสเปน

เจ้าชายฟิลิป  หลังจากพระเจ้าชาร์ลที่ 5 สวรรคต ก็ได้เป็นพระเจ้า Phillip II of Spain และดูเหมือนจะควบคุมอังกฤษทั้งด้านการทหารและเศรฐกิจ ให้อยู่ในคำสั่ง วาดโดย Antonis Mor

ภาพวาดวาระสุดท้ายของ Thomas Cranmer โดนคำสั่งประหารชีวิต

   ต่อมาพระราชินีแมรี่ได้สิ้นชีวิตลงในวัย45 พรรษา พวกขุนนางที่จงรักภักดีได้ยกพระนางเอลิซาเบทขึ้นเป็นราชินี

สมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 1

   สมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 1 แห่งอังกฤษที่พวกจงรักภักดีก่อกบฎกับพระนางแมรี่ สุดท้ายต้องพ่ายแพ้แต่เธอรอดมาได้แค่ถูกจับขัง

   ในปี ค.ศ. 1589 พระเจ้าฟิลิปเปที่ 2 ผู้เป็นคริสเตียนนิกายโรมันคาทอลิก ทรงเห็นว่าสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบทที่ 1 ผู้ปกครองอังกฤษในขณะนั้น ซึ่งพระนางทรงเป็นคริสเตียนนิกายโปรเตสแตนต์ ไม่คู่ควรกับราชบัลลังก์อังกฤษที่สมควรจะมีไว้สำหรับเชื้อพระวงศ์ที่เป็นโรมันคาทอลิกเท่านั้น สเปนนำกองเรืออาร์มาดาที่ได้ชื่อว่าเป็นกองเรือที่ถูกเรียกว่าแข็งแกร่งที่สุดจากการสนับสนุนของอิตาลี และสมเด็จพระสันตะปาปาในฐานะที่รบเพื่อโรมันคาทอลิก สมทบกับดยุคแห่งปาร์มาที่เนเธอร์แลนด์ ได้ยกพลไปบุกอังกฤษ

พระเจ้าฟิลิปเปที่ 2 ที่นั่งเป็นแบบให้ผู้เฒ่าทิเทียนวาด

   ฝ่ายอังกฤษมีเซอร์ฟรานซิส เดรก นักสำรวจและนักเดินเรือชาวอังกฤษ ที่เคยเป็นโจรสลัดมาก่อนถูกแต่งตั้งเป็นรองผู้บัญชาการกองเรืออังกฤษ โดยกองทัพเรืออังกฤษไล่ตีสเปน ไปตามช่องแคบและสามารถยึดเรือสเปนได้สองลำ ชัยชนะครั้งแรกเป็นของอังกฤษ ต่อมาในวันที่ 7 สิงหาคม ทัพเรืออังกฤษ และกองเรืออาร์มาดาได้ต่อสู้กัน แต่เรืออังกฤษทำการบรรทุกเชื้อเพลิงไว้ แล้วเรียงกันเป็นแถวหน้ากระดาน จากนั้นจุดเพลิงเผาให้วอดแล้วพุ่งชนกองเรือของสเปน ทำให้เกิดการระเบิดขึ้น และกองเรือของสเปนเกิดความหวาดกลัว ทำให้กองเรือของสเปนต่างถ่อยร่น ทำให้กองเรือสเปนแตกพ่าย

ฟรานซิส เดรก โจรสลัดจากอังกฤษ เคยปะทะกับเรือของสเปนมาก่อน สมัยโจรสลัด และเป็นผู้ชำนาญน่านน้ำอย่างดี เพราะเคยเดินทางรอบโลกได้เป็นคนแรกของอังกฤษ ทำให้ได้รับความวางใจจากพระราชินีนาถเอลิซาเบทที่  1


ปะทะกันสองครั้งแรกกองเรือสเปนพ่าย เพราะเจอมรสุมทะเล และเทคนิคการต่อสู้ที่คาดไม่ถึงของอังกฤษ ทำให้ต้องกลับไปพื้นฟูกองทัพใหม่  จนมาถึงจุดที่ไม่มีฝ่ายใดแพ้ฝ่ายใดชนะ

   ในที่สุดสงครามอังกฤษ-สเปนก็มาสิ้นสุดลง โดยการลงนามในสนธิสัญญาลอนดอน ในปี ค.ศ. 1604 การต่อสู้ทางศาสนาก็พลอยยุติไปด้วย



การได้รับชัยชนะจากสเปน ถือเป็นความยิ่งใหญ่ของอังกฤษ และพระราชินีนาถเอลิซาเบทที่  1 มีการเฉลิมฉลอง ออกเหรียญที่ระลึก ให้ชื่นชมกันถ้วนหน้า

จากโจรสลัดเดรก ก็ได้รับความดีความชอบให้เป็น เซอร์ฟรานซิส เดรกจากราชินีอังกฤษ

รัชสมัยของพระองค์เป็นที่รู้จักกันว่า “สมัยเอลิซาเบธ” ที่มีชื่อเสียงเหนือสิ่งใดว่าเป็นยุคเรอเนสซองซ์ของนาฏกรรมของอังกฤษ ที่นำโดยนักเขียนบทละครผู้มีชื่อเสียงเช่นวิลเลียม เชคสเปียร์ และ คริสต์โตเฟอร์ มาร์โลว์,

ประติมากรรมแกะสลักรูปเหมือนของ วิลเลียม เชคสเปียร์ ทั้งนักกวีและนักเขียนบทละครชื่อดังของโลกชาวอังกฤษ

นายคริสต์โตเฟอร์ มาร์โลว์  Christopher Marlowe เป็นกวีและนักเขียนบทละครชาวอังกฤษ ได้ชื่อว่าเป็น..กบฎสังคม..ไม่นับถือพระจ้า และมีแฟนเป็นผู้ชาย..

   เมื่อเข้าสู่สภาวะปกติของบ้านเมือง พระราชินีนาถเอลิซาเบทที่ 1 ได้จัดการบรรจุพระศพ ของแม่(แอนน์ โบลีน)ที่ตายอย่างอนาถ ให้สมเกียรติและทำพระพักตร์ครอบหน้าให้เหมือนกับพระราชวงค์ชั้นสูงของยุโรป

   ส่วนนายเดรคก็ได้ดิบได้ดีในราชวัง ปัจจุบันมีอนุสาวรีย์เขายืนเท่อยู่ที่อังกฤษ



   งานจิตรกรรมของอังกฤษในยุคนี้ยังดูโบราณ แม้จะวาดได้ละเอียดแต่ยังแข็งๆคล้ายสไตล์โกธิค ยังไม่หวือหวาก้าวหน้าเท่าอิตาลีและฝรั่งเศส นอกจากงานของฮอลไบน์ในยุคของแอน โบลีนแล้ว หลังจากนี้ก็ยังไม่มีใครเสมอได้


ภาพวาดของ CatherineParr มเหสีของเฮนรี่ ที่  8 องค์สุดท้ายผู้มีพระราชสามี  4  พระองค์



ภาพวาดตัวเองของ antonis mor แอนโธนิส มอร์ ศิลปินเบลเยี่ยมที่วาดบุคคลในราชสำนักอังกฤษและสเปน งานของเขาอยู่ในยุคเรอเนสค์ยุคปลาย ทำให้อังกฤษมีงานที่ดีอยู่หลายภาพ


ภาพวาดของพระนางแมรี่ ที่  1 ที่วาดโดยแอนโธนิส มอร์


รูปพระเจ้าฟิลิปเป ที่  2 วาดโดยแอนโธนิส มอร์ เช่นกัน



   
    เอาล่ะบ้านเมืองสงบสักที มาสรุปศิลปินคนดังๆในยุคเรอเนสซองค์ ที่ไม่ได้ลงรายละเอียดว่ามีใครบ้างขอเลือกมาบางคนนะ






Paolo Uccello ผู้ได้รับอิทธิพลการเขียนพื้นหลังจากมาซาคจิโอ และเขาให้แรงบรรดาลใจแก่ราฟาเอล






Piero della Francesca ผู้จัดวางองคประกอบแนวใหม่ ด้วยเปอสเปคตีพต่างจุดรวมสายตา






Hans Memling จิตรกรชาวดัชสกุลช่างเฟลมิช






giovanni bellin อาจารญ์ของทิเทียน titian และจอณ์เจียน giorgione เขาเป็เป็นผู้ปฏิวัติการเขียนภาพแบบเวนิสในการออกไปทางแบบที่ให้ความรู้สึกอ่อนหวาน (sensuous) และเป็นสีสรรค์ (colouristic) เบลลินีใช้สีน้ำมันที่ใส และแห้งช้า ซึ่งเมื่อแห้งทำให้มีภาพมีสีเข้มขึ้น เหลือบ และเป็นเงาที่ละเอียด






จอร์โจเน Giorgione มีชื่อเสียงว่าเขียนภาพอย่างมีอรรถรส (elusive poetic quality) เขาเสียชีวิตเมื่ออายุเพียง 33 ปี กับภาพวาดที่รู้แน่นอนว่ามีเพียง 6 ภาพ






จาโคโป ปอนตอร์โม  Jacopo Pontormo ปอนตอร์โม มีชื่อเสียงในการวางตัวแบบเอี้ยวตัว, การบิดเบือนทัศนียภาพ, การใช้สีที่ไม่ใช่ธรรมชาติ ซึ่งมาจากความเป็นคนที่อยู่นิ่งไม่ได้ และเป็นคนมีอารมณ์ที่ทำนายไม่ได้





ฟรานเชสโค มัซโซลาFrancesco Mazzolaหรือ Parmigianino  “พาร์มิจานิโน” งานของพาร์มิจานิโนมีลักษณะตัวค่อนข้างยาว งานที่มีชื่อเสียง เช่น“พระแม่มารีพระศอยาว”(รูปบน)






แอกโนโล ดี โคสิโม หรือ บรอนซิโน  Agnolo Bronzino เป็นจิตรกรและกวี ประจำสำนักของดุ๊ค แห่งฟลอเรนซ์คนสุดท้าย โคสิโม เดอ เมดิชิผู้ก่อตั้งหอศิลป์อูซิซี งานวาดของเขามีอิทธิพลต่อการวาดภาพเหมือนของราชสำนักต่างๆ ในยุโรป






จอร์โจ วาซารี (อิตาลี: Giorgio Vasari) เป็นสถาปนิกและจิตรกรชาวอิตาลี ผลงานที่ทำให้เขามีชื่อเสียงมากที่สุด คืองานบันทึกประวัติชีวิต และงานของศิลปินอิตาลี ก่อนหน้าและร่วมสมัย ในชื่อ “ชีวิตศิลปิน”






จาโคโป ทินโทเรตโต: Tintoretto เขาวาดภาพอย่างรวดเร็ว และเต็มไปด้วยพลัง การใช้ช่องว่างและแสงสี ทำให้ถือกันว่าทินโทเรตโต เป็นผู้นำทางศิลปะแบบบาโรก และอาจจะถือว่าเป็นจิตรกรคนสุดท้าย ของเรอเนสซองซ์อิตาลี






ปาโอโล เวโรเนเซลี: Paolo Veronese ภาพของ เวโรเนเซ เป็นงานเขียนที่เต็มไปด้วยนาฏกรรมและการใช้สีแบบจริตนิยม (mannerist)เต็มไปด้วยฉากสถาปัตยกรรมและขบวนที่หรูหรา






จิโอวานนี่ โบโลนยา Giovanni Bologna เขาศึกษางานของไมเคิลแองเจลโลและประติมากรรมคลาสิคยุคโบราณนำพัฒนาให้สวยงามเนียนเหมือนจริงเป็นสมาชิกของกลุ่มอะคาเดมี (เป็นหลักสูตรและชื่อที่ใช้ต่อมาถึงปัจจุบันถึงการสร้างงานที่สมบูรณ์เหมือนจริง)ที่ก่อตั้งขึ้นครั้งแรกโดยโคสิโม เมดิซี






จูเซปเป อาร์ชิมโบลโด Giuseppe Arcimboldo เป็นจิตรกร เป็นนักตกแต่ง และนักออกแบบเครื่องแต่งกาย เป็นผู้เขียนภาพเหมือนแบบมีจินตนาการเช่นเขียนเป็นภาพที่ใช้ผลไม้, ผัก, ดอกไม้, ปลา และหนังสือ ที่จัดประกอบเข้าด้วยกันจนเป็นหน้าตาที่ทราบว่าเป็นภาพเหมือนของผู้ใด นักวิพากษ์ศิลปะยังถกเถียงกันว่าเป็นงานของคนบ้าเขียน








อันเดรีย มานเทนยา (Andrea Mantegna) เขาทดลองวิธีต่างๆ ในการเขียนแบบทัศนียภาพ 
เช่นลดระดับขอบฟ้าให้ต่ำลง เพื่อทำให้สิ่งที่อยู่ในภาพดูใหญ่ขึ้น 
ภาพของมานเทนยาจะมีลักษณะแข็ง และ เหมือนรูปทำจากหิน 
ทำให้เห็นว่ามานเทนยาเขียนภาพจากมุมมองของรูปสลัก 
ก่อนปี ค.ศ. 1500 มานเทนยา มีเวิร์คช็อพที่เป็นผู้นำในการผลิตภาพพิมพ์






โดนาโต ดันเจโล บรามันเต (Donato di Angelo Bramante) เป็นจิตรกรและสถาปนิกผู้นำการออกแบบสถาปัตยกรรมในรูปแบบใหม่ของยุคต้นเรอเนสซองส์ เป็นผู้ออกแบบโบสถ์เซนต์ปีเตอร์





ฮีเยโรนีมึส โบส: Hieronymus Bosch งานจะซับซ้อนและมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง เต็มไปด้วยจินตนาการและการใช้รูปสัญลักษณ์ บางสัญลักษณ์ก็เป็นสัญลักษณ์ที่ตีความหมายได้ยากแม้แต่ในสมัยของโบสเอง





ลโอนาร์โด ดา วินชี : Leonardo da Vinci เป็นอัจฉริยบุคคลที่มีความสามารถหลากหลาย เป็นทั้ง สถาปนิกแบบเรอเนซองส์ นักดนตรี นักกายวิภาคศาสตร์ นักประดิษฐ์ วิศวกร ประติมากร นักเรขาคณิต นักวาดภาพ นักดาราศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ เป็นบุคคลแรกที่วางรากฐานด้านการบิน รวมถึงวิศวกรรมโยธา เป็นผู้สร้างเทคนิคการวาดให้มีบรรยากาศเป็นหมอกในฉากหลังภาพ





มีเกลันเจโล  บูโอนาร์โรตี : Michelangelo Buonarroti เป็นจิตรกร สถาปนิก และประติมากร เป็นสถาปนิกสร้างมหาวิหารนักบุญเปโตรที่กรุงโรม









คนสุดท้ายแล้ว โซโฟนิสบา อังกิสโซลา sofonisba anguissola ศิลปินหญิงหนึ่งเดียวที่โดดเด่นแห่งยุคเรอเนสซองค์ตอนปลาย
มาจากตระกูลฮันนิบาลผู้เป็นขุนพลคาร์เธจ


ภาพสีน้ำขนาดเล็กเคลือบวานิชของเธอ


เมื่อเธออายุ 22 ปีได้พบกับไมเคิล แอนเจโล ไมเคิลขอให้เขียนภาพเด็กร้องไห้ โซโฟนิสบาก็เขียนภาพ “เด็กถูกปูกัด” ส่งไปให้ ซึ่งทำให้ไมเคิล แอนเจโลเห็นความสามารถว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์[ต้องการอ้างอิง] ต่อมาไมเคิล แอนเจโลก็มอบภาพร่างจากสมุดส่วนตัวให้โซโฟนิสบาวาดโดยใช้ลักษณะการวาดของตนเอง โดยให้คำติชมเมื่อเขียนเสร็จ โซโฟนิสบาจึงได้รับการศึกษาอย่างไม่เป็นทางการจากไมเคิล แอนเจโลอยู่สองปี


ภาพวาดรูปแรกตอนอายุ 18 เป็นภาพครูของเธอกำลังวาดตัวเธอเอง


พระเจ้าฟิลิปแห่งสเปนผู้อุปถัมถ์เธอ


พี่น้องสาวสี่คน ต่างก็เป็นจิตรกร แต่โซโฟนิสบาเป็นผู้ที่มีความสามารถเด่นและมีชื่อเสียงกว่าพี่น้องผู้อื่น เอเลนาต่อมาบวชเป็นชีซึ่งทำให้ต้องเลิกเป็นจิตรกร (บ้านนี้มีแต่ลูกสาว)ภาพนี้วาดพี่สาวของเธอที่บวชเป็นชี












              จบแล้วจ้าศิลปินชั้นนำแห่งยุคเรอเนสซองค์ ครั้งต่อไปจะเข้าสู่ยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของวงการศิลปตะวันตกกัน ยุคแห่งความเวอร์วังอลังการ....บาโรก
                                                                                                       
                                                                                                           by yuttavitcho.

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ศิลปะยุคกรีก

ศิลปะยุค โรโกโก ตอนที่1 ศิลปแห่งความอ่อนหวานและรุงรัง

ศิลปะยุคบาโรค Baroque ตอนที่ 17 โยฮัน เฟอร์เมร์ (Johan Vermeer) ผู้สร้างภาพถ่ายในยุคทองของบาโรคเนเธอแลนด์