ศิลปะยุค โรโกโก ตอนที่1 ศิลปแห่งความอ่อนหวานและรุงรัง


ศิลปะโรโกโกต่อยอดมาจากบาโรค มักจะเรียกรวมกับยุคบาโรคว่า “บาโรค-โรโกโก”แตกต่างจากบาโรคตรงที่มีความอ่อนช้อยและนุ่มนวลกว่าแต่ก็ดูรกรุงรังมากกว่าด้วย



พระเจ้าหลุยส์ที่14 วาดโดHyacinthe Rigaud ซึ่งคนจะรู้จักศิลปตามชื่อของพระองค์ว่า ศิลปหลุยส์ มากว่าศิลปโรโคโค

ศิลปะโรโกโก (อังกฤษ: Rococo) หรือบางครั้งก็เรียกกันว่า "ศิลปะแบบหลุยส์ที่ 14" (Louis XIV Style) ศิลปะโรโกโกเริ่มพัฒนามาจากศิลปะฝรั่งเศส และการตกแต่งภายในเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 18 ห้องที่ออกแบบแบบโรโกโกจะเป็น เอกภาพ คือทุกสิ่งทุกอย่างในห้อง ไม่ว่าจะเป็นผนัง เครื่องเรือน หรือเครื่องประดับ จะออกแบบเพื่อให้กลมกลืนกัน ภายในห้องจะมีเครื่องเรือนที่หรูหราและอลังการ รูปปั้นเล็ก ๆ แบบประดิดประดอย ภาพเขียนหรือกระจกก็จะเป็นกรอบลวดลาย และพรมแขวนผนัง ที่ถ้าแยกอะไรออกมาก็จะทำให้ห้องนั้นไม่สมบูรณ์แบบ



คำว่าโรโกโกมาจากคำสองคำผสมกัน คำว่า rocaille จากภาษาฝรั่งเศส ซึ่งหมายถึงศิลปะการตกแต่งที่ใช้ลวดลายคล้ายหอยหรือใบไม้ และคำว่า barocco จากภาษาอิตาลี หรือที่เรียกว่า ศิลปะบาโรก


ศิลปินโรโกโกจะนิยมเล่นเส้นโค้งตัวซีและตัวเอส (S และ C curves) แบบเปลือกหอย หรือการม้วนตัวของใบไม้เป็นหลัก การตกแต่งประดิดประดอย อย่างฟุ้งเฟ้อ คำว่าโรโกโกเมื่อเริ่มใช้ที่ประเทศอังกฤษ ค.ศ. 1836 หมายถึงโบราณล้าสมัย แต่พอมาถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 คำนี้ก็เป็นที่ยอมรับ



ภาพหลุยส์ที่ 15 โดย Rigaud ปี 1730 เป็นยุคเฟื่องฟูศิลปของโรคโคโค

พระเจ้าหลุยส์ที่ 15(เป็นเหลนของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14)เป็นพระโอรสใน เจ้าฟ้าชายหลุยส์ เลอ กรองด์ โดแฟ็ง (Louis le Grand Dauphin) ผู้เป็นพระราชนัดดาในพระเจ้าหลุยส์ที่ 14ขึ้นครองราชย์เมื่ออายุเพียง 5 ปีเท่านั้น  เป็นยุคที่สถาบันกษัตริย์ของฝรั่งเศสเริ่มเสื่อมความนิยมและเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์มากขึ้น การบริหารประเทศไร้ประสิทธิภาพจนนำไปสู่วิกฤตการณ์ในรัชกาลต่อมา

โต๊ะของพระเจ้าหลุยส์ที่15 สร้างปี1760 ในราชวังแวร์ซายร์ หนึ่งในความสำเร็จที่มีชื่อเสียงที่สุดในประวัติศาสตร์ของเฟอร์นิเจอร์ฝรั่งเศส


ศิลปะโรโกโกเริ่มขึ้นจากศิลปะการตกแต่งและศิลปะการตกแต่งภายใน ในรัชสมัยของพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 แห่งฝรั่งเศส ระหว่างสมัยรีเจนซ์ (Régence) ชีวิตราชสำนักก็เริ่มย้ายออกจากพระราชวังแวร์ซายส์ โรโกโกก็มีรากฐานมั่นคงขึ้นโดยเริ่มจากงานในวังหลวงแล้วขยายออกมาสู่งานสำหรับชนชั้นสูง


การแกะสลักโรโคโคผสมผสานปูนปั้นและภาพวาดที่ Zwiefalten ,มีโครงสร้างคลี่คลายมาจากรูปทรงของหอย

ราวประมาณปี ค.ศ. 1730 เป็นระยะที่ศิลปะโรโกโกรุ่งเรืองที่สุดในประเทศฝรั่งเศส สถาปัตยกรรมลักษณะนี้เริ่มเข้าไปมีอิทธิพลต่อศิลปะแขนงอื่นๆด้วย เช่น จิตรกรรม ประติมากรรม และ เครื่องเรือน  ศิลปะโรโกโกยังรักษาลักษณะบางอย่างของศิลปะบาโรกเช่นความซับซ้อนของรูปทรง และความละเอียดลออของลวดลาย แต่สิ่งที่โรโกโกจะแตกต่างกับบาโรกคือจะผสมผสานลักษณะอย่างอื่นเข้ามาด้วย รวมทั้งศิลปะจากทางตะวันออกโดยเฉพาะจากจีนและญี่ปุ่น และองค์ประกอบจะเน้นความไม่สมดุลย์


ศิลปะแบบโรโกโกเผยแพร่โดยศิลปินชาวฝรั่งเศส แต่ผู้ที่ตื่นเต้นกับศิลปะลักษณะนี้มากก็คือสถาบันคาทอลิกทางใต้ของประเทศเยอรมนี บริเวณโบฮิเมีย (Bohemia-ปัจจุบันอยู่ในสาธารณรัฐเช็ก) และประเทศออสเตรีย เพราะเป็นศิลปะที่สามารถประสมประสานอย่างกลมกลืนกับศิลปะบาโรกแบบเยอรมนีได้เป็นอย่างดี  ศิลปินแห่งราชสำนักปรัสเซียก็เริ่มสร้างลักษณะโรโกโกที่เป็นของตนเองที่เรียกกันว่า โรโกโกแบบฟรีดริช (Frederician Rococo) ซึ่งมีอิทธิพลมาจากโรโกโกฝรั่งเศสและเนเธอร์แลนด์ สถาปนิกมักจะตกแต่งภายในด้วยปุยเมฆที่ทำจากปูนปั้น (stucco) ทั่วไปทั้งห้อง



Frederick the Great ผู้สร้างตำนานศิลปโรคโคโคในเยอรมันเป็นผู้วางแนวคิดการสร้างพระราชวัง Sans Souci Palace, Potsdam, Germanyแม้พระองค์จะนิยมศิลปโรโคโคมากแต่ก็มีความชื่นชมในตัวของวอลแตร์และมีการติดต่อกันด้วยตลอดชีวิต



พอถึงปลายสมัยโรโกโก ศิลปะแบบนี้ก็เริ่มเป็นที่นิยมกันทางเหนือและใต้สุดของประเทศอิตาลี แต่ทางบริเวณทัสกานีและโรมที่เป็นศูนย์กลางศิลปดั้งเดิม ดูจะ"ไม่อิน"โรโกโกเสียเลยยังคงแนบแน่นกับบาโรกเช่นเดิม
Hogarth,วิลเลียม โฮการ์ธ  Self Portrait จิตกรผู้นำโรโคโคในอังกฤษ
 โรโกโกที่ประเทศอังกฤษมักจะเรียกกันว่าศิลปะแบบฝรั่งเศส หรือ "รสนิยมฝรั่งเศส" สถาปัตยกรรมแบบโรโกโกจะไม่เป็นที่นิยม แต่โรโกโกที่นิยมกันก็คือการทำเครื่องเงิน เครื่องกระเบื้อง และไหม  วิลเลียม โฮการ์ธ (William Hogarth) เป็นผู้วางรากฐานทฤษฎีของความสวยงามของโรโกโก  โดยพูดถึงความอ่อนช้อย สละสลวยของเส้นและรูปโค้งแบบเอส (S-curves) ซึ่งเป็นหัวใจของศิลปะโรโกโก

ศิลปะโรโกโกเริ่มเสื่อมความนิยมกันราวกลางคริสต์ศตวรรษที่ 18 เมื่อปัญญาชน เช่น วอลแตร์ เริ่มประณามว่าศิลปะโรโกโกเป็นศิลปะที่ฉาบฉวย เป็นศิลปะที่ทำให้คุณค่าของศิลปะโดยทั่วไปเสื่อมลง และ เป็นศิลปะที่ออกจะ "รก" เพราะจะเต็มไปด้วยลวดลายหอย, มังกร, หญ้า, ต้นปาล์ม และ ต้นไม้ใบไม้อื่นๆสารพัด พอถึงปลายริสต์ศตวรรษที่ 18 ศิลปะโรโกโกก็เสื่อมความนิยมในประเทศฝรั่งเศส ศิลปะนีโอคลาสสิกเข้ามาแทนที่


ฟร็องซัว-มารี อารูเอ ( François-Marie Arouet) หรือเป็นที่รู้จักกันในนามปากกาว่า วอลแตร์ ( Voltaire) เป็นปราชญ์, นักเขียน และนักประวัติศาสตร์ ผู้สั่นคลอนศิลปโรโคโคในฝรั่งเศส
ระหว่างปี ค.ศ. 1820 ถึง ค.ศ. 1870 ความสนใจทางศิลปะแบบโรโกโกก็มีการฟี้นฟูขึ้นมาอีก ศิลปินอังกฤษเป็นศิลปินกลุ่มแรกที่หันมาฟี้นฟูศิลปะลักษณะนี้ และใช้คำว่า "แบบหลุยส์ที่ 14" เมื่อพูดถึงโรโกโก ศิลปะโรโกโกที่ไม่มีใครซื้อกันที่ปารีสก็มาโก่งขายกันด้วยราคาแพงกันที่อังกฤษ
การตบแต่งอย่างอลังการของแท่นบูชา (altar) ที่San Luis de los Franceses church, Seville,ประเทศสเปน

โรโกโกเหมาะกับงานประติมากรรม หรือ รูปปั้นกระเบื้องชิ้นเล็กๆ  ประติมากรรมจากวัสดุอื่นก็มีไม้ และเหล็ก แต่สิ่งที่ใช้โรโกโกกันมากคือตู้สารภาพบาป  แท่นบูชา (altar) หรือ การตกแต่งด้านหน้าของวัด (facade)


งานโรโคโคสไตล์ของ ซิมอง ฟิลิปพีนิส พอยริเย ที่มีความเป็นเอเซียผสม จีน แขก ที่นำมาแพร่หลายในเยอรมัน รัสเซีย


นักออกแบบชาวฝรั่งเศส นำศิลปะแบบโรโกโกไปเผยแพร่ด้วยตนเองที่มิวนิค ประเทศเยอรมนี และเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ประเทศรัสเซีย นักออกแบบกลุ่มนี้ถือว่าเป็นผู้นำทางของการตกแต่งสมัยใหม่ซึ่งนำโดยซิมอง ฟิลิปพีนิส พอยริเย (Simon-Philippe Poirier)
การตกแต่งภายในแบบโรโกโกที่ วังโซลิทูด (Solitude Palace) ที่เมืองชตุทท์การ์ท Germany

วังจีน (Chinese Palace) ที่เมืองออราเนียนบอม (Oranienbaum) Russia

การตกแต่งห้องของโรโกโกจะเลิศลอย และจะออกไปทางร่าเริง ทุกตารางนิ้วจะมีปูนปั้นเป็นรูปใบไม้ ไฟ ทรงหอย และก้อนเมฆห้อยระย้าไปทั้งห้อง และเช่นเดียวกับเครื่องเรือนการตกแต่งจะลบเลือนรูปทรงสถาปัตยกรรมเดิมออกหมดรวมทั้งขอบตกแต่งเพดาน  ที่เคยเป็นที่นิยมกัน ด้วยการใช้รูปแกะสลักโดยเฉพาะปูนปั้น  สีที่ใช้ก็จะเป็นสีสว่าง และ นุ่มนวลแทนที่จะใช้แม่สีและสีค่อนข้างหนักเหมือนศิลปะแบบบาโรก การตกแต่งภายในแบบนี้นิยมกันมากในการตกแต่งวัดคาธอลิกทางตอนใต้ของประเทศเยอรมนี
ปราสาทที่เวือร์ซบูร์ก (Würzburg) bavaria germany


 ปราสาทเวือร์ซบูร์ก  (Würzburg)  มี”ภาพวาดที่ใหญ่ที่สุดในโลก”ของจิตรกรชาวเวนิส Giovanni Battista Tiepolo และลูกชายของเขา Domenico วาดภาพเฟรสโกในตึก "มหาวิหารที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในยุโรป"เคยได้รับความเสียหายอย่างหนักในช่วง สงครามโลกครั้งที่สอง




รายละเอียดของงานปูนปั้นของ White Hall


การแต่งงานของสมเด็จพระจักรพรรดิเฟรดเดอริกที่สองและบีทริกซ์แห่งเบอร์กันดี วาดโดย Tiepolo




พระราชวังชาร์ลอทเทนบูร์ก (Charlottenburg) Berlin, Germany




ทางเข้าพระราชวัง Charlottenburg ตอนกลางคืน

การตกแต่งมุมหนึ่งภายในพระราชวัง  ชาร์ลอทเทนบูร์ก

พระราชวังเชินบรุนน์ (Schönbrunn) นอกกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย
การตกแต่งภายในพระราชวังเชินบรุนน์

เป็นสถานที่รวบรวมผลงานทางศิลปะการตกแต่งชั้นเยี่ยมจำนวนมาก ภายในอุทยานเคยเป็นที่ตั้งของสวนสัตว์แห่งแรกของโลกเมื่อ พ.ศ. 2295  ปัจจุบันได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลก

Schönbrunn- แปลว่าน้ำพุอันสวยงาม ซึ่งชื่อนี้มาจากบ่อน้ำบาดาลที่พุดขึ้นมาบริเวณนั้น  พระนางมารี อองตัวเนต พระราชินีแห่งฝรั่งเศส ได้เคยใช้พระชนม์ชีพในวัยเยาว์ในพระราชวังแห่งนี้อีกด้วย รวมถึงสมเด็จพระจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 แห่งฝรั่งเศส ก็เคยมาประทับพักอยู่ ณ พระราชวังแห่งนี้เช่นกัน



พระราชวังซังส์ซูซี Sanssouci, Potsdam Germany


ชื่อของวังที่แปลว่า ไกลกังวล วังซังส์ซูซีมักได้รับการเปรียบให้เป็นคู่แข่งของพระราชวังแวร์ซายส์ในประเทศฝรั่งเศส แต่ซังส์ซูซีมีลักษณะที่เป็นส่วนตัวแบบโรโคโคและเล็กกว่าพระราชวังแวร์ซายส์ที่เป็นสถาปัตยกรรมแบบบาโรกมากกว่า วังซังส์ซูซี มีเอกลักษณ์ที่เรียกกันว่า โรโคโคแบบฟรีดริชเนื่องจากพระเจ้าฟรีดริชทรงมีส่วนเกี่ยวข้องที่ทรงสร้าง พระราชวังซังส์ซูซีและอุทยานขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 1990 ภายใต้ชื่อว่า "พระราชวังและสวนแห่งพอทสดัมและเบอร์ลิน"ในปี ค.ศ. 1995

งานจิตรกรรม
ถึงแม้ว่าศิลปะโรโกโกจะเกิดจากการตกแต่งภายใน แต่ก็มีอิทธิพลกับจิตรกรรมเห็นได้ชัดจากภาพเขียน ภาพเขียนเหล่านี้ใช้สีที่สว่าง นุ่มนวลและจะเล่นเส้นโค้ง งานจิตรกรรมจะไม่เจาะจงเฉพาะสิ่งที่ปรากฏในภาพเขียน แต่จะรวมไปถึงกรอบของรูปที่จะแกะสลักกันอย่างอลังการด้วยรูปยุวเทพและสัตว์จากเทพนิยายปรัมปรา การเขียนภาพเหมือนสมัยนี้ก็เป็นที่นิยมกัน บางภาพจิตรกรจะแอบแฝงความซุกซนหรือความผิดจริยธรรมเล็กๆน้อยๆของตัวเจ้าของรูป ฉากหลังจะไม่เป็นโบสถ์แต่จะเป็นทิวทัศน์


งานจิตกรรมออกแนวสีหวานเจี๊ยบภาพนี้วาดโดยฟรังโกนาร์ด Jean-Honoré Fragonard

จิตรกรที่สร้างสีสันโดดเด่นในยุคนี้ เช่น   จิโอวานนิ บัตติสตา ติเอโปโล giovanni battista tiepoloเป็นจิตรกรชาวเวนิส วัตตูร์( Antoine Watteau)  บูเชร์( François Boucher)  ฟรังโกนาร์ด ( Jean Honore Fragonard )  เกนเบอร์โร( Thomas Gainsborough)   เลียวตาร์ด( Jean Etienne Liotard )  ชาแดง( Jean-Simeon Chardin) และ ซู บาเรียน( Francisco de Zurbaran)) ชาวสเปนเป็นต้น

Madame de Pompadour โดย  บูเชร์ -Boucher.  มาดามปอมปาดูร์ มเหสีเอกของพระเจ้าหลุยส์ที่15 ผู้ชื่นชมกล้วยไม้มาก จนภายหลังได้ตั้งชื่อพันธ์กล้วยไม้ตามนามของหล่อน
ประติมากรรม

ประติมากรคนสำคัญของโรโกโกแบบฝรั่งเศสคือเอเตียน โมรีส ฟาลโกเน (Étienne-Maurice Falconet) จะเป็นรูปปั้นกระเบื้องเล็กๆ แทนที่จะเป็นรูปแกะสลักหินอ่อนใหญ่โตอย่างสมัยบาโรก เรื่องที่ใช้ปั้นก็จะเป็นเรื่องรัก เรื่องสนุก และธรรมชาติ
Venus and Cupid


Pygmalion and Galatea

Winter

งานของเอเตียน โมรีส ฟาลโกเน (Étienne-Maurice Falconet) ประติมากรของยุคโรโคโค จากยุคบาโรคที่ทำอย่างใหญ่โตอลังการได้กลายเป็นงานประดับกระจุ๋มกระจิ๋มที่ใช้ตกแต่งตามอาคาร


รุปปั้นกระเบื้องของไมเซ็น


The Music Lesson บทเรียนดนตรี-จำลองจากภาพวาดของบูเช่ร์  ca. 1765 Willems, Joseph London

คีตกรรม

ดนตรีโรโกโกพัฒนามาจากดนตรีบาโรกโดยเฉพาะที่ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเป็นดนตรีที่ไม่ไปทางนาฏกรรมแต่จะนุ่มนวล  ขนาดของวงดนตรีขยายใหญ่ จากแบบ Chamber Music ที่ใช้ผู้เล่นไม่กี่คน มาเป็นแบบ Orchestra ที่ใช้ผู้เล่นและเครื่องดนตรีจำนวนมาก มีการแต่งเพลงและใช้โน้ตเพลง และเปิดการแสดงดนตรีในห้องโถงใหญ่ๆ นักดนตรีสำคัญ คือ โยฮันน์ เซบาสเตียน บาค (Johann Sebastian Bach) ชาวเยอรมัน ซึ่งแต่งเพลงทางด้านศาสนาเป็นส่วนใหญ่


อนุสาวรีย์J.S. Bach ที่ Thomaskirche in Leipzig ไลพ์ซิก, เยอรมนี


งานด้านวรรณกรรม ในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 17 ได้ชื่อว่า"เป็นยุคทองแห่งวรรณกรรมยุโรป "มีผลงานชิ้นเอกของนักประพันธ์ชาวอังกฤษและฝรั่งเศส ที่เด่นคือ งานเขียนทางปรัชญาการเมืองของ จอห์น ลอค ( John Lock) และบทละครเสียดสีสังคมชั้นสูงของ โมลิแอร์ ( Moliere) เป็นต้น



โมลิแอร์ วาดโดย ปีแยร์ มีญาร์ ลูกศิษย์ของ Simon Vouet
Vouet ฌ็อง-บาติสต์ ปอเกอแล็ง หรือชื่อที่ใช้ในการแสดงว่า มอลีแยร์ เป็นนักเขียนบทละครและนักแสดงชาวฝรั่งเศสที่ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในบรมครูด้านสุขนาฏกรรมที่ยิ่งใหญ่

ความคิดเห็น

  1. In this manner my associate Wesley Virgin's tale begins with this SHOCKING and controversial video.

    As a matter of fact, Wesley was in the army-and shortly after leaving-he revealed hidden, "MIND CONTROL" tactics that the government and others used to get whatever they want.

    THESE are the same tactics many famous people (notably those who "became famous out of nothing") and the greatest business people used to become rich and successful.

    You probably know how you use less than 10% of your brain.

    That's because the majority of your BRAINPOWER is UNCONSCIOUS.

    Maybe that thought has even occurred INSIDE OF YOUR own brain... as it did in my good friend Wesley Virgin's brain around seven years ago, while driving a non-registered, beat-up bucket of a car without a driver's license and with $3.20 in his pocket.

    "I'm absolutely frustrated with going through life paycheck to paycheck! When will I finally make it?"

    You've been a part of those those types of conversations, isn't it so?

    Your success story is waiting to start. All you need is to believe in YOURSELF.

    Take Action Now!

    ตอบลบ

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ศิลปะยุคกรีก

ศิลปะยุคบาโรค Baroque ตอนที่ 17 โยฮัน เฟอร์เมร์ (Johan Vermeer) ผู้สร้างภาพถ่ายในยุคทองของบาโรคเนเธอแลนด์