lesson 1 - โกธิค-เรอเนสซองค์
ก่อนจะเริ่มศึกษาประวัติศาสตร์ศิลป์ต่อไป จะขอเรียงลำดับหัวข้อตามการเปลี่ยนแปลงของวงการศิลป
นับต่อจากศิลปะกอธิค ดังนี้
◾ศิลปะกอธิค (Gothic Art)ค.ศ.12-15
◾ศิลปะเรอเนซองส์ (Renaissance Art) ค.ศ.15
◾ศิลปะบาโรก (Baroque Art)ค.ศ.16
◾ศิลปะโรโคโค (Rococo Art)ค.ศ.16
◾ศิลปะฟื้นฟูคลาสสิก (ฟื้นฟูกรีกโรมัน) (Neo-Classical Art) ค.ศ.17
◾ศิลปะจินตนิยม (Romanticism) - ค.ศ.18
◾ลัทธิสัจนิยม (Realism (arts)) - ค.ศ.19
◾ศิลปะพรีราฟาเอลไลท์ (Pre-Raphaelite) - ค.ศ.19
◾ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์ (Impressionism Art)
◾ลัทธิเอ็กซเพรสชันนิสม์ (Expressionism) - ค.ศ.20
◾ลัทธิดาดา (Dada) - คริสต์ศตวรรษที่ 20
◾ลัทธิโฟวิสม์ (Fauvism) - คริสต์ศตวรรษที่ 20
◾ ลัทธิคิวบิสม์ (Cubism) - คริสต์ศตวรรษที่ 20
◾ลัทธิแอ็บแสตร็ค (Abstract) - คริสต์ศตวรรษที่ 20
ศิลปหนังสือภาพเขียนขนาดเล็ก เฟื่องฟูมาแต่ยุคโกธิคถึงเรอเนสซองค์(Illuminated manuscript) หรือหนังสือตัวเขียนสีวิจิตร คือเอกสารตัวเขียนที่ตัวหนังสือตกแต่งเพิ่มเติมด้วยสีสรรค์เช่นตัวหนังสือตัวแรกที่ขยายใหญ่ขึ้นและเล่นลายอย่างวิจิตร หรือเขียนขอบคัน หรือทำเป็นจุลจิตรกรรม หมายถึงต้นฉบับที่ตกแต่งด้วยเงินและทอง โดยนักวิชาการสมัยใหม่ในปัจจุบันจะหมายถึงต้นฉบับใดก็ได้ที่มีการตกแต่งหรือหนังสือประกอบภาพจากทั้งทางตะวันตกและทางศาสนาอิสลามงาน
เอกสารตัวเขียนสีวิจิตรฉบับแรกที่สุดสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 5 ถึงที่ 7 ส่วนใหญ่ทำในไอร์แลนด์, อิตาลี และประเทศอื่นๆ บนผืนแผ่นดินใหญ่ยุโรป ความสำคัญของเอกสารตัวเขียนสีวิจิตรมิใช่เพียงคุณค่าทางวรรณกรรมแต่ยังมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ด้วย
เป็นแบบเล่นเกมก็มี นึกถึงไอแพดยุคโน้นประมานนี้
การสร้างเอกสารตัวเขียนสีวิจิตรจะทำกันมาจนถึงยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาในคริสต์ศตวรรษที่ 15 เนื้อหาของงานส่วนใหญ่ในสมัยแรก ๆ จะเป็นงานศาสนา แต่ต่อมาโดยเฉพาะในคริสต์ศตวรรษที่ 13 ก็เริ่มมีงานทางโลกเพิ่มขึ้น และเกือบทั้งหมดจะทำเป็นหนังสือแต่ก็มีบ้างที่เป็นม้วนหรือเป็นแผ่นเดียวเขียนบนหนัง (อาจจะเป็นหนังลูกวัว, แกะ, หรือแพะ) ที่มีคุณภาพดี
หลังปลายยุคกลางวัสดุที่ใช้เขียนก็เปลี่ยนมาเป็นกระดาษ เมื่อวิวัฒนาการพิมพ์เพิ่งเริ่มใหม่ๆ ผู้พิมพ์ก็อาจจะทิ้งช่องว่างไว้สำหรับพยัญชนะตัวแรก, ขอบ ต่อมา ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 16 ศิลปะการทำเอกสารตัวเขียนสีวิจิตรเสื่อมความนิยมลง
หนังสือกำหนดเทศกาลของดุ๊คเบอรี” (Très Riches Heures) จากสมัยเรอเนซองส์ ในคริสต์ศตวรรษที่ 15_The_Madonna_and_the_Child
จุลจิตรกรรมอุปมานิทัศน์จาก “ตำนานแห่งความรัก” ของพระเจ้าเรอเน โดย บาเธเลมี ฟาน เอค จากคริสต์ศตวรรษที่ 16
จอตโต ดี บอนโดเน (Giotto di Bondone) (ค.ศ. 1267 –ค.ศ. 1337), เป็นสถาปนิกและจิตรกรชาวอิตาลี จากเมืองฟลอเรนซ์ ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในผู้มีส่วนสร้างสรรค์ผลงาน ที่ก่อให้เกิดกระแสใหม่ในสังคมที่นำไปสู่ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา ในที่สุด ซึ่งตอนนั้นเขาเองก็ยังอยู่ในยุคโกธิค
งานส่วนใหญ่ของเขาจะเป็นภาพสีเฟรสโก(สีปูนเปียก)บนผนัง
จอตโตเป็นช่างผู้มีความสามารถที่สุดในสมัยนั้น เป็นผู้วาดภาพตามกฎของธรรมชาติ และจอตโตได้รับเงินเดีอนจากรัฐบาลเมืองฟลอเรนซ์ ผลงานชิ้นสำคัญคือภาพเขียน “ความโทมนัสกับร่างพระเยซู” ในชาเปลสโครเวนยีภายในวัดในเมืองปาโดวา หรือที่รู้จักกันว่าชาเปลอารีนา ภาพเขียนนี้สำเร็จลงในปี ค.ศ. 1305 เป็นภาพที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นผลงานชั้นเอกของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาตอนต้น (Early Renaissance)
ภาพ Saint Stephen นักบุญสเตเฟน สีฝุ่นบนแผ่นไม้
อธิบายนิด ในภาพจะเห็นก้อนกลมๆบนหัว2ก้อน นั่นคือก้อนหิน จากเหตุการณ์ต้องโทษโดนรุมขว้างด้วยก้อนหินจนสิ้นชีวิต ถือเป็นนักบุญคนแรกที่โดนทำร้าย ศิลปินจัดวางก้อนหินเหมือนเป็นรัศมีออกจากศีรษะอย่างชาญฉลาด
ภาพผนังโบสถ์ จูดาจุมพิตเยซู ได้อารมณ์สะเทือนใจดี สำหรับศิษย์ทรยศคนนี้สังเกตว่าไม่มีวงรัศมีบนหัวเหมือนกลุ่มนักบุญทางซ้ายมือ
จอร์โจ วาซารี นักเขียนชีวประวัติจากคริสต์ศตวรรษที่ 16 กล่าวว่า จอตโต เป็นผู้แยกตัวจากศิลปะแบบไบแซนไทน์อย่างชัดเจน และเป็นผู้นำในการใช้วิธีวาดอย่างถูกต้องจากธรรมชาติซึ่งเป็นวิธีที่ละทิ้งไปกว่าสองร้อยปีตั้งแต่สมัยกรีก
Andrea Orcagna อันเดรอา ออร์ชานยา ( ค.ศ. 1308 - ค.ศ. 1368) หรือเรียกสั้นๆ ว่า ออร์ชานยา เป็นจิตรกร, ประติมากร และ สถาปนิกของยุคกอธิคชาวอิตาลีของคริสต์ศตวรรษที่ 14
ผู้มีความเชี่ยวชาญทางการเขียนจิตรกรรมฝาผนัง, “ฉากแท่นบูชารีดีมเมอร์” Altarpiece of the Redeemer" (ค.ศ. 1354-ค.ศ. 1357และฉากแท่นบูชาแท่นบูชาที่วัดออร์ซันมิเคเล (เสร็จ ค.ศ. 1359) ที่ถือกันว่าเป็น “งานชิ้นที่สมบูรณ์ที่สุดของงานกอธิคอิตาลี
ฉากแท่นบูชารีดีมเมอร์” Altarpiece of the Redeemer ใช้เวลาสร้างระหว่างปี 1354-57 ที่Santa_Maria_Novella,Florence
นับต่อจากศิลปะกอธิค ดังนี้
◾ศิลปะกอธิค (Gothic Art)ค.ศ.12-15
◾ศิลปะเรอเนซองส์ (Renaissance Art) ค.ศ.15
◾ศิลปะบาโรก (Baroque Art)ค.ศ.16
◾ศิลปะโรโคโค (Rococo Art)ค.ศ.16
◾ศิลปะฟื้นฟูคลาสสิก (ฟื้นฟูกรีกโรมัน) (Neo-Classical Art) ค.ศ.17
◾ศิลปะจินตนิยม (Romanticism) - ค.ศ.18
◾ลัทธิสัจนิยม (Realism (arts)) - ค.ศ.19
◾ศิลปะพรีราฟาเอลไลท์ (Pre-Raphaelite) - ค.ศ.19
◾ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์ (Impressionism Art)
◾ลัทธิเอ็กซเพรสชันนิสม์ (Expressionism) - ค.ศ.20
◾ลัทธิดาดา (Dada) - คริสต์ศตวรรษที่ 20
◾ลัทธิโฟวิสม์ (Fauvism) - คริสต์ศตวรรษที่ 20
◾ ลัทธิคิวบิสม์ (Cubism) - คริสต์ศตวรรษที่ 20
◾ลัทธิแอ็บแสตร็ค (Abstract) - คริสต์ศตวรรษที่ 20
ศิลปหนังสือภาพเขียนขนาดเล็ก เฟื่องฟูมาแต่ยุคโกธิคถึงเรอเนสซองค์(Illuminated manuscript) หรือหนังสือตัวเขียนสีวิจิตร คือเอกสารตัวเขียนที่ตัวหนังสือตกแต่งเพิ่มเติมด้วยสีสรรค์เช่นตัวหนังสือตัวแรกที่ขยายใหญ่ขึ้นและเล่นลายอย่างวิจิตร หรือเขียนขอบคัน หรือทำเป็นจุลจิตรกรรม หมายถึงต้นฉบับที่ตกแต่งด้วยเงินและทอง โดยนักวิชาการสมัยใหม่ในปัจจุบันจะหมายถึงต้นฉบับใดก็ได้ที่มีการตกแต่งหรือหนังสือประกอบภาพจากทั้งทางตะวันตกและทางศาสนาอิสลามงาน
ภาพหนังสือในยุคโกธิค
เอกสารตัวเขียนสีวิจิตรฉบับแรกที่สุดสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 5 ถึงที่ 7 ส่วนใหญ่ทำในไอร์แลนด์, อิตาลี และประเทศอื่นๆ บนผืนแผ่นดินใหญ่ยุโรป ความสำคัญของเอกสารตัวเขียนสีวิจิตรมิใช่เพียงคุณค่าทางวรรณกรรมแต่ยังมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ด้วย
เป็นแบบเล่นเกมก็มี นึกถึงไอแพดยุคโน้นประมานนี้
การสร้างเอกสารตัวเขียนสีวิจิตรจะทำกันมาจนถึงยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาในคริสต์ศตวรรษที่ 15 เนื้อหาของงานส่วนใหญ่ในสมัยแรก ๆ จะเป็นงานศาสนา แต่ต่อมาโดยเฉพาะในคริสต์ศตวรรษที่ 13 ก็เริ่มมีงานทางโลกเพิ่มขึ้น และเกือบทั้งหมดจะทำเป็นหนังสือแต่ก็มีบ้างที่เป็นม้วนหรือเป็นแผ่นเดียวเขียนบนหนัง (อาจจะเป็นหนังลูกวัว, แกะ, หรือแพะ) ที่มีคุณภาพดี
หลังปลายยุคกลางวัสดุที่ใช้เขียนก็เปลี่ยนมาเป็นกระดาษ เมื่อวิวัฒนาการพิมพ์เพิ่งเริ่มใหม่ๆ ผู้พิมพ์ก็อาจจะทิ้งช่องว่างไว้สำหรับพยัญชนะตัวแรก, ขอบ ต่อมา ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 16 ศิลปะการทำเอกสารตัวเขียนสีวิจิตรเสื่อมความนิยมลง
ลวดลายและภาพวาดขนาดเล็กบนหนังสือในยุคต้นเรอเนสซองค์
หนังสือกำหนดเทศกาลของดุ๊คเบอรี” (Très Riches Heures) จากสมัยเรอเนซองส์ ในคริสต์ศตวรรษที่ 15_The_Madonna_and_the_Child
จอตโต ดี บอนโดเน (Giotto di Bondone) (ค.ศ. 1267 –ค.ศ. 1337), เป็นสถาปนิกและจิตรกรชาวอิตาลี จากเมืองฟลอเรนซ์ ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในผู้มีส่วนสร้างสรรค์ผลงาน ที่ก่อให้เกิดกระแสใหม่ในสังคมที่นำไปสู่ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา ในที่สุด ซึ่งตอนนั้นเขาเองก็ยังอยู่ในยุคโกธิค
The Expulsion of Joachim from the Temple
งานส่วนใหญ่ของเขาจะเป็นภาพสีเฟรสโก(สีปูนเปียก)บนผนัง
จอตโตเป็นช่างผู้มีความสามารถที่สุดในสมัยนั้น เป็นผู้วาดภาพตามกฎของธรรมชาติ และจอตโตได้รับเงินเดีอนจากรัฐบาลเมืองฟลอเรนซ์ ผลงานชิ้นสำคัญคือภาพเขียน “ความโทมนัสกับร่างพระเยซู” ในชาเปลสโครเวนยีภายในวัดในเมืองปาโดวา หรือที่รู้จักกันว่าชาเปลอารีนา ภาพเขียนนี้สำเร็จลงในปี ค.ศ. 1305 เป็นภาพที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นผลงานชั้นเอกของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาตอนต้น (Early Renaissance)
ภาพ Saint Stephen นักบุญสเตเฟน สีฝุ่นบนแผ่นไม้
อธิบายนิด ในภาพจะเห็นก้อนกลมๆบนหัว2ก้อน นั่นคือก้อนหิน จากเหตุการณ์ต้องโทษโดนรุมขว้างด้วยก้อนหินจนสิ้นชีวิต ถือเป็นนักบุญคนแรกที่โดนทำร้าย ศิลปินจัดวางก้อนหินเหมือนเป็นรัศมีออกจากศีรษะอย่างชาญฉลาด
จอร์โจ วาซารี นักเขียนชีวประวัติจากคริสต์ศตวรรษที่ 16 กล่าวว่า จอตโต เป็นผู้แยกตัวจากศิลปะแบบไบแซนไทน์อย่างชัดเจน และเป็นผู้นำในการใช้วิธีวาดอย่างถูกต้องจากธรรมชาติซึ่งเป็นวิธีที่ละทิ้งไปกว่าสองร้อยปีตั้งแต่สมัยกรีก
The Scrovegni Chapel สร้างในปี1305
งานวาดตกแต่งภายในที่เขาลงมือวาดเอง
Andrea Orcagna อันเดรอา ออร์ชานยา ( ค.ศ. 1308 - ค.ศ. 1368) หรือเรียกสั้นๆ ว่า ออร์ชานยา เป็นจิตรกร, ประติมากร และ สถาปนิกของยุคกอธิคชาวอิตาลีของคริสต์ศตวรรษที่ 14
ผู้มีความเชี่ยวชาญทางการเขียนจิตรกรรมฝาผนัง, “ฉากแท่นบูชารีดีมเมอร์” Altarpiece of the Redeemer" (ค.ศ. 1354-ค.ศ. 1357และฉากแท่นบูชาแท่นบูชาที่วัดออร์ซันมิเคเล (เสร็จ ค.ศ. 1359) ที่ถือกันว่าเป็น “งานชิ้นที่สมบูรณ์ที่สุดของงานกอธิคอิตาลี
การตกแต่งภายาในที่วัดออร์ซันมิเคเล Orsanmichele
Madonna delle Grazie (Madonna of the Graces),Bernardo Daddi. Church of Orsanmichele, Florence 1347
งานสลักหินอ่อนและการออกแบบลวดลายที่ Orsanmichele, Florence
งานปั้นประดับอาคารโบสถ์ วัดออร์ซันมิเคเล orsanmichele
Strozzi Altarpiece. 1354
ฉากแท่นบูชารีดีมเมอร์” Altarpiece of the Redeemer ใช้เวลาสร้างระหว่างปี 1354-57 ที่Santa_Maria_Novella,Florence
ภาพวาดบนฉาก3 บานเรื่องราวของ St Matthew เสร็จสมบูรณ์ประมานปี 1367-1368 โดยน้องชายเขา
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น