ศิลปะยุคบาโรค Baroque ตอนที่ 5 Peter Paul Rubens รูเบนส์ ผู้เป็นหัวขบวนยุคทองของ ศิลปะบาโรก
เปเตอร์ เปาล์ รือเบินส์ หรือรูเบนส์ Peter Paul Rubens (1577-1640) ผู้เป็นหัวขบวนยุคทองของ ศิลปะบาโรก
Peter Paul Rubens, Self - Portrait (1623)
ในสมัยนั้นประเทศฮอลแลนด์และประเทศเบลเยียม เป็นแว่นแคว้นรวมอยู่ในประเทศเดียวกัน โดยอยู่ภายใต้การปกครองของชาวสเปนและประชาชนทั้งหลายต่างก็กำลังจะเริ่มก่อกบฏต่อต้านผู้กดขี่พวกเขา บิดาของรือเบินส์ต้องหลบหนีจากสเปนไปยัง ประเทศเยอรมนี ที่เมืองซีเกิน รือเบินส์จึงเกิดที่เมืองนี้ พอ10 ขวบบิดาได้เสียชีวิตลง แม่จึงส่งกลับไปนครแอนต์เวิร์ป หรือเบินส์เข้าโรงเรียนในนครแอนต์เวิร์ป (ปัจจุบันเรียกว่าประเทศเบลเยียม) และเรียนรู้ภาษาละตินและภาษากรีกด้วยแม่อยากให้รับราชการเธอจึงส่งเขาไปเป็นมหาดเล็กในวัง แต่ด้วยความเบี่อหน่ายเขาจึงออกมาศึกษาวาดรูปอย่างจริงจัง โดยศึกษากับอาจารย์3 ท่าน
Portrait Portrait of a Young Scholar ปี1597 วาดตอนอายุ20 ปี
ภาพประวัติการก่อตั้งกรุงโรมที่กล่าวถึง
เรมุสกับโรมิอุส ถูกนำไปเลี้ยงโดยหมาป่า
แต่สำหรับพรสวรรค์ทางศิลปะที่ยิ่งใหญ่ของเขา แม้แต่แอนต์เวิร์ป (ซึ่งในขณะนั้นใหญ่กว่าลอนดอนหรือปารีส) ก็ยังเล็กเกินไป เขาเดินทางไปอิตาลี ศึกษา วาด และลอกทุกอย่างในศิลปะอิตาลีที่เขาสามารถเจอเป็นครั้งแรก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับทิเชียน
Jupiter and Callisto ปี 1613 ลักษณะภาพในยุคแรกที่ได้รับอิทธิพลจากทิเทียน
The Battle of Anghiari งานที่ลอกจากดาวินซีปัจจุบันรูปของดาวินซีที่วาดไว้หายไปแล้ว
ที่โรม ศิลปะบาโรกกำลังเกิดขึ้นในฐานะศิลปะเรอแนซ็องส์ครั้งที่สอง เขาศึกษางานของดาวินซี มีเกลันเจโลในโบสถ์น้อยซิสทีน และงานราฟาเอลอยู่4ปี จึงกลับไปแอนต์เวิร์ป ทันทีทันใดหลังการกลับของเขา เขาวาดการชื่นชมของแมไจสำหรับศาลาว่าการเมืองแอนต์เวิร์ป
การชื่นชมของแมไจ
raising-of-the-cross สีน้ำมันบนแผ่นไม้ปี1610 หลังจากไปศึกษางานที่โรมได้รับอิทธิพลของไมเคิลแองเจลโล ทิเทียนแต่มีความลื่นไหลอย่างมีพลังในรูปแบบของตน
เขาแต่งงานกับอีซาแบ็ลลา บรันต์ (Isabella Brant) ลูกสาวของผู้สูงศักดิ์มีฐานะดีที่แอนต์เวิร์ป
ภาพวาดลายเส้นดินสอ อีซาแบ็ลลา บรันต์ (Isabella Brant)ในวัยรุ่น
มีลายเซนด้านล่างขวา P P R
มีลายเซนด้านล่างขวา P P R
รือเบินส์กับภรรยาอีซาแบ็ลลา บรันต์
The Artist and His First Wife, Isabella Brant c. 1609.
ผลงานเขาเริ่มมีชื่อเสียง บ้านของเขาขยายใหญ่ราวกับพระราชวังด้วยห้องทำงานที่มโหราฬ รือเบินส์ได้รับการแต่งตั้งเป็นจิตรกรในราชสำนักของอาร์ชดุ๊กอัลเบร็ชท์ ข้าหลวงสเปน สตูดิโอของเขากลายเป็นจุดศูนย์กลางของกิจกรรมทางการทูต ในฐานะฑูตหลวงผู้ประสานสิบทิศเขาได้รับการแต่งตั้งเป็นอัศวินโดยพระเจ้าชาลส์ที่ 1 แห่งอังกฤษ (จากสงครามศาสนาที่ผ่านมา30ปี ประเทศแถบยุโรปแตกแยกกันรุนแรงโดยเฉพาะสเปน ฝรั่งเศส อังกฤษและเนเธอแลนด์)
Sir Peter Paul Rubens รูเบนส์ฐานะอัศวินในพระเจ้าชาลส์ที่ 1 แห่งอังกฤษ
Marchesa Brigida Spinola-Doria
หญิงสูงศักดิ์แห่งสเปน
Anne of austria_1621-5
พระนางแอนแห่งออสเตเรีย
Portrait of King Philip IV
พระเจ้าฟิลิปที่4กษัตริย์สเปน
Painting from Peter Paul Rubens workshop, 1620
การวาดผิวเนื้อโดยเคลือบสีเป็นชั้นๆทำให้ภาพคนของรูเบนส์มีเลือดเนื้อที่ไหลเวียน ดูจริงจังซึ่งเป็นเทคนิคเฉพาะตัวของเขายากที่จะเลียนแบบได้
เนื่องจาก Rubens มีความผูกผันกับราชสำนักที่นับถือนิกายคาธอลิก งานจิตรรรมของเขาจึงผิดแปลกไป จากงานของ พวกจิตกรในฮอลแลนด์ทั่วๆไปที่นับถือนิกายโปรแตสแตนท์ รูเบนส์ได้แปรรูปแบบของศิลปะเรอเนสซองส์ให้มาเป็นแบบส่วนตัวของเขาเองโดยไม่เหมือนใคร
Alethea of Arundel 1620 เป็นภาพที่แสดงสถาปัตยกรรมเสาแบบบาโรคที่เห็นอย่างชัดเจน Howard, Countess
รูเบนส์ใช้การเล่นสี (Painterly Painting)แบบเฟล็มมิชซึ่ง มีลักษณะการปลดปล่อย รูปทรงที่เป็นอิสระด้วยเส้นที่เป็นคลื่นลอน เลื่อนไหลไปราวกับเปลวเพลิง คล้ายๆกับงานของ El Greco แต่รูเบนส์ก็ไม่เหมือนกับ เอล เกรโก ตรงที่รูเบนส์ได้สร้างรูปทรงที่มีนํ้าหนักด้วยเส้นโค้ง กวาดตวัดเหวี่ยงไปด้วยพลังเคลื่อนไหว ร่างคนจะทำท่าบิด หมุน เลื่อนไหล ประกอบกับการจัด Composition ที่สร้างความเครียดขึ้นมา สีที่แปรเปลี่ยนกับจังหวะลีลาที่เป็นเส้นโค้งคด ซึ่งทั้งหมด นี้ก็คือแบบฉบับเฉพาะตัวของ Rubens เอง
daniel-lions
ภาพอุปมัยแห่งการเกิดสงคราม
( Allegory of the Outbreak of War)
เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการอุปมัยเหตุการณ์สงครามในยุโรปที่ยึดเยื้อหลายร้อยปีตั้งแต่ยุคมืดจนถึงยุคของการก่อเกิดประเทศต่างๆในยุโรป รูเบนส์สร้างภาพจิตรกรรมพรรณนาถึงสงครามเชิงเปรียบเทียบกับเรื่องราวของเทพปกรณัม ซึ่งเชื่อว่าสงครามเกิดจากการเปิดประตูที่มหาวิหารเจนัส(Janus temple)ซึ่งเป็นที่สิงสถิตย์ของเทพเจ้ามาร์ส(Mars) ซึ่งเป็นเทพแห่งสงคราม เมื่อใดก็ตามที่ประตูวิหารแห่งนี้เปิดเทพแห่งสงครามก็จะออกมาก่อศึกสงครามเข่นฆ่าผู้คนทันที ในภาพนี้เทพมาร์ส สวมหมวกนักรบมือซ้ายถือโล่ มือขวากระชับดาบไล่ฟังผู้คนล้มตายอยู่เบื้องหน้าไม่ว่าจะเป็นลูกเล็กเด็กแดงผู้หญิงคนเฒ่าคนแก่ก็ไม่เว้น มิวายที่เทพเจ้าวีนัสซึ่งเป็นเทวีแห่งความรักหรือลูกชายคิวปิดจะเหนี่ยวรั้งก็ไม่เป็นผล
ส่วนด้านหน้าของเทพมาร์สคืออสูรแห่งสงครามที่คอยดึงและยุแหย่ในเข้าสู่สงคราม ในภาพนี้รูเบนส์ได้แฝงความหมายเชิงเปรียบเทียบ (Allegory) ภาพผู้หญิงเปลือยที่ล้มอยู่ด้านหน้าเทพมาร์สคือสัญลักษณ์ของความงามและศิลปะ ส่วนรูปผู้หญิงกอดทารกคือสัญลักษณ์แห่งความรัก ใต้เท้าของเทพมีกระดาษและผลงานวาดเส้นหล่นเกลื่อนกลาดอยู่พื้น หมายถึงวรรณกรรมและศิลปะ ความหมายก็คือสงครามจะไม่มีความปราณี มันจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง สร้างหายนะทั้งชีวิต ทรัพย์สิน ศิลปะ วรรณกรรม ไร้ซึ่งความรัก ความเมตตา
เป็นเรื่องของสองสามีภรรยาชาวอิสราเอลอยากมีลูกเลยไปอ้อนวอนเทพเจ้าเพื่อขอให้ได้ลูกชาย แต่ต้องสัญญากับพระเจ้า หนึ่งในสัญญาเหล่านั้นก็คือ จะต้องไม่ตัดผม ไม่ทานผลองุ่น รวมไปถึงไม่ดื่มไวน์ (ของมึนเมา)และไม่แตะต้องซากศพคนตาย...ภายใต้การรักษาสัญญาที่เคร่งครัดของพ่อและแม่นั้น แซมซั่นก็เติบโตขึ้นมาด้วยร่างกายที่กำยำแข็งแรง และมีพละกำลังมากมายผิดกับมนุษย์ทั่วไป
แซมซั่นได้เข้าร่วมต่อสู้ทำสงครามกับชาว Philistines หลายต่อหลายครั้ง และเมื่อแซมซั่นรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับพระผู้เป็นเจ้า ก็ทำให้แซมซั่นเป็นฝ่ายชนะสงครามแทบจะทุกครั้งไป... เวลาผ่านไป แซมซั่นเริ่มทะนงในความยิ่งใหญ่และชัยชนะของตน จึงผิดสัญญาที่เคยให้ไว้กับพระผู้เป็นเจ้าหลายข้อ เหลือเพียงข้อเดียวเท่านั้นคือยังไม่ตัดผม
เมื่อแซมซั่นผิดสัญญา ก็แน่นอนว่าหลายต่อหลายครั้งในการรบ แซมซั่นจึงเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ช่วงเวลาที่แซมซั่นรบชนะนั้นได้สร้างความโกรธแค้นในใจ ให้เกิดขึ้นกับชาว Philistines มากมาย เพราะสงครามได้ทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่าง รวมทั้งคร่าชีวิตของชาว Philistines ไปเป็นจำนวนมาก
แซมซั่นมีจุดอ่อนอยู่ที่มักจะพ่ายแพ้ต่อความงามของอิสตรี และสาวงามที่แซมซั่นไปหลงรักก็กลับเป็นสาวชาว Philistines ชื่อว่า "เดไลล่า" ซึ่งเป็นสตรีที่ทั้งสวยและมีเสน่ห์เหลือเกิน ในขณะเดียวกัน เดไลล่าก็ได้รับการว่าจ้างด้วยเงินเงินก้อนโตจากพวก Philistines ด้วยกันให้สืบหาให้ได้ว่าจุดอ่อนของแซมซั่นคืออะไร?
หลายครั้งที่แซมซั่นได้หลอกเดไลล่าว่าจุดอ่อนของตนอยู่ตรงโน้นบ้าง ตรงนี้บ้าง เดไลล่าก็ลองทำ แต่ก็ยังไม่สำเร็จ แซมซั่นยังคงมีพละกำลังมากมายมหาศาลเหมือนเดิม
จนมาวันหนึ่งแซมซั่นทนเห็นเดไลล่าร้องไห้คร่ำครวญไม่ไหวอีกต่อไป จึงยอมบอกว่าจุดอ่อนของตนนั้นอยู่ที่ "ผม" คือไม่สามารถตัดได้...
เมื่อเดไลล่าได้ทราบดังนั้น จึงแอบตัดผมของแซมซั่นในขณะที่แซมซั่นกำลังหลับอยู่ และเมื่อตื่นขึ้นตอนเช้าแซมซั่นจึงรู้ว่าเดไลล่าได้ทรยศต่อความรักของตนเสียแล้ว
แซมซั่นถูกชาว Philistines จับไปเป็นเชลย ถูกทรมานต่างๆนานา แต่พอวันเวลาผ่านไป ผมของแซมซั่นก็ค่อยๆยาวขึ้น พละกำลังของตนเองก็เริ่มกลับคืนมาอีกครั้ง
วันหนึ่งแซมซั่นได้ทราบข่าวว่าจะมีการจัดงานบูชาเทพเจ้าที่ชาว Philistines นับถือขึ้นที่ Temple of Dagon และในงานนั้นจะเป็นการชุมนุมของชาว Philistines นับพันคน
แซมซั่นได้ลักลอบเข้าไปในวิหาร ใช้แขนทั้งสองข้างและพละกำลังอันมหาศาลของตนที่พระผู้เป็นเจ้าประทานให้ ดึงเสาทั้งสองลงมา วิหารทั้งวิหารจึงพังทะลายลง
ก้อนหินนับร้อยนับพันที่ประกอบขึ้นรวมกันเป็นมหาวิหารก็ร่วงหล่นลงมาใส่ร่างของแซมซั่นและชาว Philistines ที่มาร่วมงานในวันนั้น ผู้นำชาว Philistines นักการเมือง ทหาร ผู้นำจิตวิญญาณ และประชาชนที่มาร่วมงาน 3 พันคน จึงเสียชีวิตพร้อมกันหมดพร้อมทั้งตัวแซมซั่นเอง
เบนส์เป็นจิตรกรที่ทรงอิทธิพลของยุคบาโรกแห่งเฟลมิชที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างลักษณะการเขียนอันเป็นเอกลักษณ์ของยุค และการใช้จักษุศิลป์ในการสื่อความหมายของงานจิตรกรรม รือเบินส์เป็นผู้ดูแลการสร้างงาน และสร้างงานต่าง ๆ ด้วยตนเองด้วยกันกว่าสามพันชิ้นที่รวมทั้งงานภาพพิมพ์แกะไม้, ภาพพิมพ์แกะโลหะ และจิตรกรรมที่เขียนบนวัสดุหลายอย่าง
ภาพนี้เป็นส่วนหนึ่งที่รูเบนส์กับบรุคเคิ่ล(คนที่เป็นลูก)ได้เคยร่วมงานกันซึ่งมีอยู่หลายภาพ โดยรูเบนส์เป็นผู้วาดคน
ภาพชุดพระราชินีมารี เดอ เมดีซิส (Marie de' Medici cycle) เป็นภาพเขียนชุดจำนวนยี่สิบสี่ภาพในปี ค.ศ. 1621 ที่ว่าจ้างโดยพระราชินีมารี เดอ เมดีซิส พระอัครมเหสีในพระเจ้าอ็องรีที่ 4 แห่งฝรั่งเศส ในสัญญาระบุว่าโครงการเขียนภาพจะต้องเสร็จภายในสองปีเพื่อให้ทันเวลากับการเสกสมรสของพระราชธิดาเจ้าหญิงเฮนเรียตตา มาเรียกับพระเจ้าชาลส์ที่ 1 แห่งอังกฤษ
ระหว่างการเขียนภาพเป็นสมัยของความไม่สงบทางการเมือง ที่รือเบินส์ต้องพยายามเลี่ยงการแสดงการหมิ่นพระบรมราชานุภาพของสถาบันพระมหากษัตริย์ฝรั่งเศสในขณะนั้น รือเบินส์จึงหันไปใช้อุปมานิทัศน์จากตำนานเทพ, บุคลาธิษฐานของคุณธรรมและศาสนาแทน
ภาพเขียนทั้งหมดมียี่สิบเอ็ดภาพเป็นภาพการต่อสู้และการได้รับชัยชนะต่าง ๆ ในชีวิตของพระราชินีมารี เดอ เมดีซิส อีกสามภาพเป็นภาพเหมือนของพระองค์เองและพระราชบิดามารดา
พระเจ้าอ็องรีที่4 พระสวามีทรงถูกลอบปลงพระชนม์ใน ค.ศ. 1610 (ครองราชย์11ปี) เจ้าชายหลุยส์พระราชโอรสผู้ขณะนั้น มีพระชนมายุเพียงแปดพรรษาครึ่ง ก็ขึ้นครองราชย์ต่อจากพระราชบิดา เป็นพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 (เป็นบิดาของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของฝรั่งเศสและยุโรป) ทำให้พระราชินีมารี เดอ เมดีซิส ต้องเป็นผู้สำเร็จราชการ จนพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 อายุ 18 ปีจึงได้ยึดอำนาจแล้วขับพระราชินีมารีออกจากปารีส โดยพระเจ้าหลุยส์พระราชโอรสของพระองค์เองหลังจากผ่านไป 6 ปี แม่ลูกก็มาคืนดีกันอีกระยะหนึ่ง พระนางจึงจ้างรูเบนส์ให้วาดชุดนี้ขึ้น
พระเจ้าอ็องรีที่ 4 ทรงตกหลุมรักเจ้าหญิงมารี เดอ เมดีซิสทันทีที่ทอดพระเนตร เห็นพระฉายาลักษณ์ของพระองค์ ในภาพไฮเมเนียสเทพเจ้าแห่งการแต่งงานและคิวปิดเทพเจ้าแห่งความรักเป็นผู้ถือภาพของเจ้าหญิงมารีต่อพระพักตร์ของพระเจ้าอ็องรีผู้ที่จะมาเป็นพระสวามี ขณะที่เทพจูปิเตอร์และเทพีจูโนนั่งอยู่บนก้อนเมฆมองลงมายังพระเจ้าอ็องรี ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่าเป็นการเสกสมรสที่เป็นที่เห็นพ้องและชื่นชมโดยเทพ ขณะที่บุคลาธิษฐานของฝรั่งเศสใส่หมวกเหล็กแตะพระพาหาของพระเจ้าอ็องรีเป็นการแสดงการสนับสนุนและชื่นชมกับภาพของบุคคลที่จะมาเป็นพระราชินีในอนาคตร่วมกับพระองค์
ในภาพนี้ฝรั่งเศสเป็นได้ทั้งชายและหญิงในขณะเดียวกัน ท่าทางอันใกล้ชิดระหว่างฝรั่งเศสกับพระเจ้าอ็องรีอาจจะเป็นนัยถึงความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างพระเจ้าอ็องรีกับราชอาณาจักรฝรั่งเศส ท่าทางเช่นนี้มักจะเป็นท่าที่ใช้ระหว่างชายต่อชายด้วยกันในการบอกความลับให้แก่กัน แต่การแต่งตัวของบุคลาธิษฐานที่ส่วนบนของร่างกายเป็นสตรีที่เผยให้เห็นหน้าอก และการห่มผ้าก็เป็นไปในลักษณะของการห่มแบบคลาสสิก แต่ส่วนล่างโดยเฉพาะต้นขาที่เผยให้เห็นและรองเท้าบูทแบบโรมันแสดงถึงความเป็นชาย ที่เป็นสัญญาณของความแข็งแกร่งอย่างบุรุษ แสดงถึงไม่แต่เทพเจ้าเท่านั้นที่ชื่นชม แม้แต่ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินก็ยินดีด้วยด้วย
ตามปกติแล้วเหตุการณ์เช่นนี้ก็มิได้เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นแต่อย่างใด แต่รือเบินส์ก็สามารถทำให้ภาพของพระราชินีมารี เดอ เมดีซิสเมื่อเสด็จโดยทางชลมารคมาถึงเมืองท่างมาร์แซย์ของฝรั่งเศสหลังจากที่ทรงเสกสมรสโดยฉันทะกับพระเจ้าอ็องรีที่ 4 ที่ฟลอเรนซ์แล้วให้เป็นภาพที่น่าสนใจกว่าความเป็นจริงได้อย่างน่าประทับใจ ภาพนี้เป็นภาพที่พระราชินีมารีกำลังเสด็จพระราชดำเนินลงจากสะพานเรือพระที่นั่ง ตามความเป็นจริงแล้วทรงดำเนินขึ้นและการเขียนให้ดำเนินลง ทำให้สร้างการจัดองค์ประกอบของภาพ ให้เป็นสามเหลี่ยมได้ พระราชินีมารีเสด็จลงพร้อมกับคริสตีนแห่งลอแรน แกรนด์ดัชเชสแห่งทัสเคนีและพระขนิษฐาเอเลนอรา ดัชเชสแห่งมันโตวา เข้าไปสู่การต้อนรับด้วยความปิติของบุคลาธิษฐานแห่งฝรั่งเศสผู้สวมเสื้อคลุมสีน้ำเงินประด้วยสัญลักษณ์ดอกลิลลีของฝรั่งเศสผู้อ้าแขนรับพระราชินีองค์ใหม่เข้าสู่อ้อมอกของประเทศใหม่
ด้านล่างของภาพเป็นเทพเนปจูนและนางพรายทะเลผุดขึ้นมาจากทะเลหลังจากที่ได้พิทักษ์พระองค์ในการเดินทางอันยาวนานมาจนมาถึงมาร์แซย์ได้โดยปลอดภัย รือเบินส์สร้างฉากที่รวมทั้งสวรรค์และโลก และเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์และอุปมานิทัศน์ได้อย่างมีอรรถรสแก่สายตาของผู้ดูอย่างไม่มีที่ติ ในภาพจะมีตราประจำตระกูลเมดีชีอยู่เหนือโค้งประทุนตรงมุมซ้ายบนของภาพ และอัศวินแห่งมอลตาแต่งตัวเต็มยศยืนสังเกตการณ์อยู่บนเรือข้างประทุน
ภาพนี้ใช้อุปมานิทัศน์ของเทพในการแสดงการพบปะกันเป็นครั้งแรกระหว่างพระราชินีมารีและพระเจ้าอ็องรีโดยใช้สัญลักษณ์ต่าง ๆ ตามธรรมเนียมที่บ่งถึงเทพแต่ละองค์ พระราชินีมารีทรงเป็นเทพีจูโน (กรีก เทพีเฮรา) ประทับบนราชรถที่มีนกยูงเป็นสัญลักษณ์ และพระเจ้าอ็องรีทรงเป็นเทพจูปิเตอร์ (กรีก ซูส) ทรงถือสายฟ้าในพระกรซ้ายและเหยี่ยวใต้พระชานุ ทั้งสองพระองค์ประสานพระหัตถ์ขวาเข้าด้วยกัน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ว่าทรงคู่สามีภรรยากัน ฉลองพระองค์ของทั้งสองพระองค์เป็นแบบคลาสสิกซึ่งเป็นการเหมาะกับองค์ประกอบอื่น ๆ ในภาพ เหนือพระเศียรเป็นเทพไฮเมเนียสผู้เป็นเทพเจ้าแห่งการสมรส สายรุ้งบนมุมซ้ายตอนบนเป็นสัญลักษณ์ของความปรองดองกันและความสันติสุข ด้านล่างซ้ายของภาพเป็นเมืองลิยงในฝรั่งเศสที่ดูจากซ้ายไปขวาจะเป็นภูมิทัศน์ของเมืองที่ตั้งอยู่บนเนินเขา
กลางภาพด้านหน้าล่างเป็นราชรถลากด้วยสิงโตสองตัว (คำว่าสิงโตในภาษาฝรั่งเศสพ้องกับชื่อเมืองลิยง (Lyon)) ราชรถขับโดยบุคลาธิษฐานผู้สวมมงกุฎของเมืองลิยงผู้ชายตาขึ้นไปยังสองพระองค์ที่นั่งลอยอยู่ตอนบนของภาพ รือเบินส์ต้องใช้ความระมัดระวังในการเลือกเทพที่ใช้แทนพระองค์พระเจ้าอ็องรีในการพบปะกันครั้งแรกระหว่างสองพระองค์ เพื่อที่จะไม่ให้เป็นการแสดงการหมิ่นพระบรมราชานุภาพของพระเจ้าอ็องรี แต่ขณะเดียวกันก็เป็นการแฝงนัย ที่ต้องการจะสื่อถึงคุณลักษณะความเจ้าชู้ของพระองค์
การคืนดีระหว่างพระราชินีมารีและพระเจ้าหลุยส์" เทพีแห่งความยุติธรรมกำลังเข่นฆ่าไฮดราในตอนล่างของภาพโดยมีเทพแห่งความรอบคอบดูเป็นพยานอยู่ข้างหลัง ในภาพนี้สัตว์ร้ายไฮดราเป็นสัญลักษณ์ของชาร์ล ดาลแบร์ ผู้ที่ต้องมาเสียชีวิตด้วยน้ำมือของนักบุญไมเคิล ดาลแบร์ผู้นำสูงสุดทางการทหารของประเทศช่วยทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพระราชินีมารีและพระราชโอรสดีขึ้น แต่ไม่นานคองเดผู้เป็นข้าราชสำนักคนโปรดของพระราชโอรสและผู้เป็นศัตรูคนสำคัญของพระราชินีมารีก็ก้าวเข้ามาแทนที่ดาลแบร์ต พระราชินีมารีเองก็คงมีพระประสงค์ที่จะแก้แค้นให้แก่การเสียชีวิตของพระสหายคนสนิทและก็คงมีพระประสงค์ที่จะบรรยายภาพการทำลายชาร์ล ดาลแบร์โดยตรง แต่รือเบินส์เลี่ยงไปใช้อุปมานิทัศน์แทน โดยสร้างฉากความดีชนะความชั่วและสรรเสริญความปรองดองอันสันติสุขของทั้งพระองค์และพระราชโอรสเป็นการง่ายที่จะเข้าใจถึงสาเหตุที่ดาลแบร์ตถูกทำลายด้วยเทพและโยนลงไปในหลุมนรก จากการกระทำต่าง ๆ เมื่อยังมีชีวิตอยู่ที่รวมทั้งการใส่ร้ายป้ายสีพระราชินี
ในภาพนี้พระเจ้าหลุยส์ทรงเจริญพระชันษาขึ้นในรูปของเทพอพอลโล ความตายของไฮดราไม่ใช่ด้วยน้ำพระหัตถ์ของพระองค์อย่างที่คาดว่าควร จะเป็นแต่ด้วยน้ำมือของเทพีแห่งความยุติธรรม ผู้มีร่างอันกำยำอย่างสตรีอเมซอน การเข่นฆ่าดาลแบร์ตของเทพีจึงเป็นการกระทำที่ปราศจากความช่วยเหลือจากพระองค์ ผู้ไม่ไยดีต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ส่วนพระราชินีมารีก็ทรงปรากฏในภาพของมารดาผู้รักบุตรชายผู้พร้อมที่จะยกโทษให้ต่อสิ่งเลวร้ายต่าง ๆ ที่ทรงต้องทนมาตลอด
สัญญาจ้างการเขียน "ภาพชุดพระราชินีมารี" เดิมรวมการเขียน "ภาพชุดพระเจ้าอ็องรี" ด้วย แต่เขียนไม่เสร็จแม้ว่าจะทำการเริ่มเขียนภาพต่อจากชุดแรกในปี 1628 "ภาพชุดพระเจ้าอ็องรี" ตั้งใจเป็นภาพขนาดใหญ่ยี่สิบสี่ภาพที่จะบรรยายเหตุการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตของพระเจ้าอ็องรี "ที่ทรงประสบ, การสงครามที่ทรงเข้าร่วม, ชัยชนะที่ทรงได้รับ และการตีเมืองต่าง ๆ และทรงได้รับชัยชนะ
เป็นเพราะสถานการณ์ทางการเมืองที่ผันผวนที่เกิดขึ้นในขณะนั้น เมื่อพระราชินีมารีทรงถูกห้ามไม่ให้เข้าปารีสอีกครั้ง ในปี ค.ศ. 1631 เมื่ออาร์ม็อง ฌ็อง ดูว์ เปลซี เดอ รีเชอลีเยอมามีอิทธิพลต่อพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 ( พระนางทรงหนีไปประทับอยู่ที่บรัสเซลส์ และสิ้นพระชนม์ขณะที่ประทับลี้ภัยอยู่ที่นั่น ณ บ้านเก่าของรือบินส์ ใน ค.ศ. 1642) การอนุมัติงานถูกเลื่อนไปโดยทางราชสำนักขณะนั้น และรือเบินส์ไปพำนักอยู่ที่มาดริดเพื่อเตรียมตัวในกิจการทางทูตไปยังลอนดอน เพื่อทำการเจรจาต่อรองระหว่างสเปนและอังกฤษ ทำให้รีเชอลีเยอไม่พอใจที่ไปทำงานร่วมกับฝ่ายตรงข้ามของฝรั่งเศส (อังกฤษเป็นโปตัสแตนที่ทำสงครามกับฝรั่งเศสช่วงนั้นด้วย)
ภาพร่างที่เป็นภาพของอองรีแห่งนาวาร์ทรงโค้งคำนับพระเจ้าอ็องรีที่ 3 บรรยายเรื่องเมื่อพระเจ้าอ็องรีที่ 3 ทรงถูกขับออกจากปารีสหลังจากฆาตกรรมฟร็องซัว ดุ๊กแห่งกีซแล้ว พระองค์ก็เสด็จไปพบกับอองรีแห่งนาวาร์เพื่อขอให้เข้าร่วมสงครามและให้การรับรองว่าอองรีเป็นพระมหากษัตริย์ที่ถูกต้องของนาวาร์ แม้ว่ารือเบินส์จะเขียนฉากการพบปะกันครั้งนี้ภายในท้องพระโรง แต่บันทึกกล่าวว่าทั้งสองพระองค์ทรงพบกันในสวนที่เต็มไปด้วยผู้มาดูเหตุการณ์
ภาพนี้เป็นภาพพระเจ้าอ็องรีเสด็จเข้ากรุงปารีสในฉลองพระองค์แบบจักรพรรดิโรมันผู้ทรงถือช่อมะกอกที่เป็นสัญลักษณ์ของความสันติสุข แต่ตามความเป็นจริงแล้วพระองค์มิได้เสด็จเข้าปารีสเช่นในภาพ ฉะนั้นภาพจึงเป็นแต่เพียงสัญลักษณ์ของชัยชนะ ของพระองค์เท่านั้นที่ ฉาก (สิ่งก่อสร้างและประตูชัย) ยังไม่มีในปารีสขณะนั้นซึ่งเป็นการสร้างอุปมัยว่าพระเจ้าอ็องรี ยังเป็นพระมหากษัตริย์แห่งฝรั่งเศส(ประตูชัยถูกสร้างในปี1836- หรืออีก200 ปีต่อมา)
รือเบินส์เสียชีวิตด้วยหัวใจล้มเหลวจากโรคเก๊า เมื่ออายุ 63 ปี ร่างบรรจุไว้ที่ Saint James' church, Antwerp ประเทศเบลเยี่ยมปิดฉากศิลปินและนักการทูตที่ยิ่งใหญ่แห่งยุคบาโรค
"ภาพชุดพระราชินีมารี เดอ เมดีซิส" ของรือเบินส์เป็นภาพชุดที่มีอิทธิพลต่อจิตรกรอื่น ๆ ในยุคนั้นโดยเฉพาะต่อจิตรกรฝรั่งเศส อ็องตวน วาโต และฟร็องซัว ในยุครอคโคโค
หลังจากพระเจ้าอองรีที่4ครองราชย์ได้ปีหลังจากยึดปารีสได้ เนื่องจากความตึงเครียดระหว่างคริสนิกายยังไม่สงบ ฌ็อง ราวายัก(Jean Ravaillac)อันธพาลและนักการโรงเรียน ผู้ถือนิกายโรมันคาทอลิกอย่างสุดโต่ง เขาเข้าเป็นสมาชิกคณะสงฆ์เฟยย็อง (Feuillant) แต่พอถูกราชการคุมประพฤติ ก็ถูกขับออกจากคณะสงฆ์ ต่อมาใน ค.ศ. 1606 เขาขอเข้าเป็นสมาชิกคณะเยซูอิต (Society of Jesus) อีก แต่ถูกบอกปัด เรียกว่าอยู่วัดไหนโดนไล่ออกหมด
วันที่ 14 พฤษภาคม ค.ศ. 1610 ราวายักไปซุ่มรอเสด็จอยู่ที่ถนนแฟร์รอนเนอรี (Rue de la Ferronnerie) ในกรุงปารีส ครั้นรถพระที่นั่งมาถึงและติดอยู่ในถนนนั้น ราวายักก็อาศัยโอกาสนี้พุ่งเข้าไปยังขบวนเสด็จ ปีนขึ้นไปบนราชรถ แล้วเอามีดจ้วงแทงพระเจ้าอ็องรีจนสิ้นพระชนม์
ราวายักถูกราชองครักษ์จับกุมตัว หลังปีนขึ้นราชรถไปแทงพระเจ้าอ็องรีที่ 4 ถึงแก่พระชนม์ – ภาพเขียนของชาร์ล-กุสตัฟ โฮเซ (Charles-Gustave Housez) คริสต์ศตวรรษที่ 19
ราวายักถูกจับกุมทันที เจ้าหน้าที่เอาตัวเขาไปไว้ยังโรงแรมเร (Hotel de Retz) เพื่อกันฝูงชนรุมประชาทัณฑ์ จากการสอบสวนราวายักให้การว่าพระเจ้าอ็องรีเตรียมเป็นศัตรูกับพระสันตะปาปา ประมุขนิกายคาทอลิก เพราะมีพระประสงค์จะย้ายศูนย์กลางคริสต์ศาสนาจากกรุงโรมมายังปารีส และเขาต้องการให้พระเจ้าอองรีเปลี่ยนพวกโปตัสแตนให้เป็นคาทอลิคทั้งหมด
เขาถูกนำตัวไปยังจตุรัสปลาซเดอแกร็ฟ (Place de Grève) ในกรุงปารีส และถูกทรมานเป็นครั้งสุดท้าย เช่น ราดด้วยน้ำมันเดือด น้ำตะกั่วหลอม ถูกคีมฉีกเนื้อ(จะเห็นอุปกรณ์ทรมานอยู่ล่างขวาของภาพ) ก่อนถูกประหารชีวิตโดยใช้ม้าสี่ตัวแยกร่าง อันเป็นวิธีประหารผู้ปลงพระชนม์พระมหากษัตริย์ ครั้นราวายักถูกประหารแล้ว บิดามารดาของเขาถูกเนรเทศ ครอบครัวของเขาถูกห้ามใช้ชื่อ "ราวายัก" อีก
พระเจ้าอ็องรีที่ 4 แห่งฝรั่งเศส หรือ พระเจ้าเฮนรีที่ 3 แห่งนาวาร์ ครองราชย์ได้11ปี
Samson_and_Delilah
แซมซั่นเดไลล่าเป็นเรื่องจากคัมภีร์ทางศาสนาเป็นที่นิยมวาดกันเสมอ
เป็นเรื่องของสองสามีภรรยาชาวอิสราเอลอยากมีลูกเลยไปอ้อนวอนเทพเจ้าเพื่อขอให้ได้ลูกชาย แต่ต้องสัญญากับพระเจ้า หนึ่งในสัญญาเหล่านั้นก็คือ จะต้องไม่ตัดผม ไม่ทานผลองุ่น รวมไปถึงไม่ดื่มไวน์ (ของมึนเมา)และไม่แตะต้องซากศพคนตาย...ภายใต้การรักษาสัญญาที่เคร่งครัดของพ่อและแม่นั้น แซมซั่นก็เติบโตขึ้นมาด้วยร่างกายที่กำยำแข็งแรง และมีพละกำลังมากมายผิดกับมนุษย์ทั่วไป
แซมซั่นได้เข้าร่วมต่อสู้ทำสงครามกับชาว Philistines หลายต่อหลายครั้ง และเมื่อแซมซั่นรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับพระผู้เป็นเจ้า ก็ทำให้แซมซั่นเป็นฝ่ายชนะสงครามแทบจะทุกครั้งไป... เวลาผ่านไป แซมซั่นเริ่มทะนงในความยิ่งใหญ่และชัยชนะของตน จึงผิดสัญญาที่เคยให้ไว้กับพระผู้เป็นเจ้าหลายข้อ เหลือเพียงข้อเดียวเท่านั้นคือยังไม่ตัดผม
เมื่อแซมซั่นผิดสัญญา ก็แน่นอนว่าหลายต่อหลายครั้งในการรบ แซมซั่นจึงเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ช่วงเวลาที่แซมซั่นรบชนะนั้นได้สร้างความโกรธแค้นในใจ ให้เกิดขึ้นกับชาว Philistines มากมาย เพราะสงครามได้ทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่าง รวมทั้งคร่าชีวิตของชาว Philistines ไปเป็นจำนวนมาก
แซมซั่นมีจุดอ่อนอยู่ที่มักจะพ่ายแพ้ต่อความงามของอิสตรี และสาวงามที่แซมซั่นไปหลงรักก็กลับเป็นสาวชาว Philistines ชื่อว่า "เดไลล่า" ซึ่งเป็นสตรีที่ทั้งสวยและมีเสน่ห์เหลือเกิน ในขณะเดียวกัน เดไลล่าก็ได้รับการว่าจ้างด้วยเงินเงินก้อนโตจากพวก Philistines ด้วยกันให้สืบหาให้ได้ว่าจุดอ่อนของแซมซั่นคืออะไร?
หลายครั้งที่แซมซั่นได้หลอกเดไลล่าว่าจุดอ่อนของตนอยู่ตรงโน้นบ้าง ตรงนี้บ้าง เดไลล่าก็ลองทำ แต่ก็ยังไม่สำเร็จ แซมซั่นยังคงมีพละกำลังมากมายมหาศาลเหมือนเดิม
จนมาวันหนึ่งแซมซั่นทนเห็นเดไลล่าร้องไห้คร่ำครวญไม่ไหวอีกต่อไป จึงยอมบอกว่าจุดอ่อนของตนนั้นอยู่ที่ "ผม" คือไม่สามารถตัดได้...
เมื่อเดไลล่าได้ทราบดังนั้น จึงแอบตัดผมของแซมซั่นในขณะที่แซมซั่นกำลังหลับอยู่ และเมื่อตื่นขึ้นตอนเช้าแซมซั่นจึงรู้ว่าเดไลล่าได้ทรยศต่อความรักของตนเสียแล้ว
แซมซั่นถูกชาว Philistines จับไปเป็นเชลย ถูกทรมานต่างๆนานา แต่พอวันเวลาผ่านไป ผมของแซมซั่นก็ค่อยๆยาวขึ้น พละกำลังของตนเองก็เริ่มกลับคืนมาอีกครั้ง
วันหนึ่งแซมซั่นได้ทราบข่าวว่าจะมีการจัดงานบูชาเทพเจ้าที่ชาว Philistines นับถือขึ้นที่ Temple of Dagon และในงานนั้นจะเป็นการชุมนุมของชาว Philistines นับพันคน
แซมซั่นได้ลักลอบเข้าไปในวิหาร ใช้แขนทั้งสองข้างและพละกำลังอันมหาศาลของตนที่พระผู้เป็นเจ้าประทานให้ ดึงเสาทั้งสองลงมา วิหารทั้งวิหารจึงพังทะลายลง
ก้อนหินนับร้อยนับพันที่ประกอบขึ้นรวมกันเป็นมหาวิหารก็ร่วงหล่นลงมาใส่ร่างของแซมซั่นและชาว Philistines ที่มาร่วมงานในวันนั้น ผู้นำชาว Philistines นักการเมือง ทหาร ผู้นำจิตวิญญาณ และประชาชนที่มาร่วมงาน 3 พันคน จึงเสียชีวิตพร้อมกันหมดพร้อมทั้งตัวแซมซั่นเอง
เบนส์เป็นจิตรกรที่ทรงอิทธิพลของยุคบาโรกแห่งเฟลมิชที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างลักษณะการเขียนอันเป็นเอกลักษณ์ของยุค และการใช้จักษุศิลป์ในการสื่อความหมายของงานจิตรกรรม รือเบินส์เป็นผู้ดูแลการสร้างงาน และสร้างงานต่าง ๆ ด้วยตนเองด้วยกันกว่าสามพันชิ้นที่รวมทั้งงานภาพพิมพ์แกะไม้, ภาพพิมพ์แกะโลหะ และจิตรกรรมที่เขียนบนวัสดุหลายอย่าง
รูเบนส์วาดให้ครอบครัว Jan Bruegel the Elder(ลูกชายของบรุกเคิล ศิลปินเฟรมมิสสมัยเรอเนสซองค์)
Allegory of Sight, 1617 Museo del Prado;วาดโดย Peter Paul Rubens กับJan Bruegel the Elder
ภาพนี้เป็นส่วนหนึ่งที่รูเบนส์กับบรุคเคิ่ล(คนที่เป็นลูก)ได้เคยร่วมงานกันซึ่งมีอยู่หลายภาพ โดยรูเบนส์เป็นผู้วาดคน
ภาพชุดพระราชินีมารี เดอ เมดีซิส (Marie de' Medici cycle) เป็นภาพเขียนชุดจำนวนยี่สิบสี่ภาพในปี ค.ศ. 1621 ที่ว่าจ้างโดยพระราชินีมารี เดอ เมดีซิส พระอัครมเหสีในพระเจ้าอ็องรีที่ 4 แห่งฝรั่งเศส ในสัญญาระบุว่าโครงการเขียนภาพจะต้องเสร็จภายในสองปีเพื่อให้ทันเวลากับการเสกสมรสของพระราชธิดาเจ้าหญิงเฮนเรียตตา มาเรียกับพระเจ้าชาลส์ที่ 1 แห่งอังกฤษ
เจ้าหญิงเฮนเรียตตา มาเรีย
(พระราชธิดาของพระราชินีมารี เดอ เมดีซิส )
กับพระเจ้าชาลส์ที่ 1 แห่งอังกฤษ วาดโดยแวนไดซ์ Anton van Dyck
ศิษย์โปรดของรูเบนส์
ภาพชุดพระราชินีมารี เดอ เมดีซิส ปัจจุบันภาพทั้งหมอแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟวล์ฝรั่งเศส
ระหว่างการเขียนภาพเป็นสมัยของความไม่สงบทางการเมือง ที่รือเบินส์ต้องพยายามเลี่ยงการแสดงการหมิ่นพระบรมราชานุภาพของสถาบันพระมหากษัตริย์ฝรั่งเศสในขณะนั้น รือเบินส์จึงหันไปใช้อุปมานิทัศน์จากตำนานเทพ, บุคลาธิษฐานของคุณธรรมและศาสนาแทน
พระราชินีมารี เดอ เมดีซิสเมื่อยังทรงพระเยาว์
โดยจิตรกรของสำนักเซนต์ทิโท
เป็นพระอัครมเหสีองค์ที่สองในพระเจ้าอ็องรีที่ 4
(คงจำได้ว่ามเหสีคนแรกของอองรีที่4หรืออองรีแห่งนาวาร์เป็นลูกสาวของพระนางแคทเธอรีน เดอ เมดิซี ในงานแต่งละเลงเลือดในครั้งก่อน )
ภาพเขียนทั้งหมดมียี่สิบเอ็ดภาพเป็นภาพการต่อสู้และการได้รับชัยชนะต่าง ๆ ในชีวิตของพระราชินีมารี เดอ เมดีซิส อีกสามภาพเป็นภาพเหมือนของพระองค์เองและพระราชบิดามารดา
ภาพเหมือนของพระราชินีมารี เดอ เมดีซิส
โดยรือเบินส์ ราว ค.ศ. 1622-ค.ศ. 1625
(พิพิธภัณฑ์ปราโด สเปน)
พระเจ้าอ็องรีที่4 พระสวามีทรงถูกลอบปลงพระชนม์ใน ค.ศ. 1610 (ครองราชย์11ปี) เจ้าชายหลุยส์พระราชโอรสผู้ขณะนั้น มีพระชนมายุเพียงแปดพรรษาครึ่ง ก็ขึ้นครองราชย์ต่อจากพระราชบิดา เป็นพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 (เป็นบิดาของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของฝรั่งเศสและยุโรป) ทำให้พระราชินีมารี เดอ เมดีซิส ต้องเป็นผู้สำเร็จราชการ จนพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 อายุ 18 ปีจึงได้ยึดอำนาจแล้วขับพระราชินีมารีออกจากปารีส โดยพระเจ้าหลุยส์พระราชโอรสของพระองค์เองหลังจากผ่านไป 6 ปี แม่ลูกก็มาคืนดีกันอีกระยะหนึ่ง พระนางจึงจ้างรูเบนส์ให้วาดชุดนี้ขึ้น
มาดูภาพบางส่วนของชุดนี้กัน
"การแสดงพระฉายาลักษณ์ต่อพระเจ้าอ็องรี"
(Presentation of Her Portrait to Henri IV)
พระเจ้าอ็องรีที่ 4 ทรงตกหลุมรักเจ้าหญิงมารี เดอ เมดีซิสทันทีที่ทอดพระเนตร เห็นพระฉายาลักษณ์ของพระองค์ ในภาพไฮเมเนียสเทพเจ้าแห่งการแต่งงานและคิวปิดเทพเจ้าแห่งความรักเป็นผู้ถือภาพของเจ้าหญิงมารีต่อพระพักตร์ของพระเจ้าอ็องรีผู้ที่จะมาเป็นพระสวามี ขณะที่เทพจูปิเตอร์และเทพีจูโนนั่งอยู่บนก้อนเมฆมองลงมายังพระเจ้าอ็องรี ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่าเป็นการเสกสมรสที่เป็นที่เห็นพ้องและชื่นชมโดยเทพ ขณะที่บุคลาธิษฐานของฝรั่งเศสใส่หมวกเหล็กแตะพระพาหาของพระเจ้าอ็องรีเป็นการแสดงการสนับสนุนและชื่นชมกับภาพของบุคคลที่จะมาเป็นพระราชินีในอนาคตร่วมกับพระองค์
ในภาพนี้ฝรั่งเศสเป็นได้ทั้งชายและหญิงในขณะเดียวกัน ท่าทางอันใกล้ชิดระหว่างฝรั่งเศสกับพระเจ้าอ็องรีอาจจะเป็นนัยถึงความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างพระเจ้าอ็องรีกับราชอาณาจักรฝรั่งเศส ท่าทางเช่นนี้มักจะเป็นท่าที่ใช้ระหว่างชายต่อชายด้วยกันในการบอกความลับให้แก่กัน แต่การแต่งตัวของบุคลาธิษฐานที่ส่วนบนของร่างกายเป็นสตรีที่เผยให้เห็นหน้าอก และการห่มผ้าก็เป็นไปในลักษณะของการห่มแบบคลาสสิก แต่ส่วนล่างโดยเฉพาะต้นขาที่เผยให้เห็นและรองเท้าบูทแบบโรมันแสดงถึงความเป็นชาย ที่เป็นสัญญาณของความแข็งแกร่งอย่างบุรุษ แสดงถึงไม่แต่เทพเจ้าเท่านั้นที่ชื่นชม แม้แต่ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินก็ยินดีด้วยด้วย
การขึ้นฝั่งที่มาร์แซย์
(The Disembarkation at Marseilles)
ตามปกติแล้วเหตุการณ์เช่นนี้ก็มิได้เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นแต่อย่างใด แต่รือเบินส์ก็สามารถทำให้ภาพของพระราชินีมารี เดอ เมดีซิสเมื่อเสด็จโดยทางชลมารคมาถึงเมืองท่างมาร์แซย์ของฝรั่งเศสหลังจากที่ทรงเสกสมรสโดยฉันทะกับพระเจ้าอ็องรีที่ 4 ที่ฟลอเรนซ์แล้วให้เป็นภาพที่น่าสนใจกว่าความเป็นจริงได้อย่างน่าประทับใจ ภาพนี้เป็นภาพที่พระราชินีมารีกำลังเสด็จพระราชดำเนินลงจากสะพานเรือพระที่นั่ง ตามความเป็นจริงแล้วทรงดำเนินขึ้นและการเขียนให้ดำเนินลง ทำให้สร้างการจัดองค์ประกอบของภาพ ให้เป็นสามเหลี่ยมได้ พระราชินีมารีเสด็จลงพร้อมกับคริสตีนแห่งลอแรน แกรนด์ดัชเชสแห่งทัสเคนีและพระขนิษฐาเอเลนอรา ดัชเชสแห่งมันโตวา เข้าไปสู่การต้อนรับด้วยความปิติของบุคลาธิษฐานแห่งฝรั่งเศสผู้สวมเสื้อคลุมสีน้ำเงินประด้วยสัญลักษณ์ดอกลิลลีของฝรั่งเศสผู้อ้าแขนรับพระราชินีองค์ใหม่เข้าสู่อ้อมอกของประเทศใหม่
ด้านล่างของภาพเป็นเทพเนปจูนและนางพรายทะเลผุดขึ้นมาจากทะเลหลังจากที่ได้พิทักษ์พระองค์ในการเดินทางอันยาวนานมาจนมาถึงมาร์แซย์ได้โดยปลอดภัย รือเบินส์สร้างฉากที่รวมทั้งสวรรค์และโลก และเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์และอุปมานิทัศน์ได้อย่างมีอรรถรสแก่สายตาของผู้ดูอย่างไม่มีที่ติ ในภาพจะมีตราประจำตระกูลเมดีชีอยู่เหนือโค้งประทุนตรงมุมซ้ายบนของภาพ และอัศวินแห่งมอลตาแต่งตัวเต็มยศยืนสังเกตการณ์อยู่บนเรือข้างประทุน
การพบปะระหว่างพระราชินีมารีและพระเจ้าอ็องรีที่ลียง
The Meeting of Marie de' Medici and Henry IV at Lyons
ภาพนี้ใช้อุปมานิทัศน์ของเทพในการแสดงการพบปะกันเป็นครั้งแรกระหว่างพระราชินีมารีและพระเจ้าอ็องรีโดยใช้สัญลักษณ์ต่าง ๆ ตามธรรมเนียมที่บ่งถึงเทพแต่ละองค์ พระราชินีมารีทรงเป็นเทพีจูโน (กรีก เทพีเฮรา) ประทับบนราชรถที่มีนกยูงเป็นสัญลักษณ์ และพระเจ้าอ็องรีทรงเป็นเทพจูปิเตอร์ (กรีก ซูส) ทรงถือสายฟ้าในพระกรซ้ายและเหยี่ยวใต้พระชานุ ทั้งสองพระองค์ประสานพระหัตถ์ขวาเข้าด้วยกัน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ว่าทรงคู่สามีภรรยากัน ฉลองพระองค์ของทั้งสองพระองค์เป็นแบบคลาสสิกซึ่งเป็นการเหมาะกับองค์ประกอบอื่น ๆ ในภาพ เหนือพระเศียรเป็นเทพไฮเมเนียสผู้เป็นเทพเจ้าแห่งการสมรส สายรุ้งบนมุมซ้ายตอนบนเป็นสัญลักษณ์ของความปรองดองกันและความสันติสุข ด้านล่างซ้ายของภาพเป็นเมืองลิยงในฝรั่งเศสที่ดูจากซ้ายไปขวาจะเป็นภูมิทัศน์ของเมืองที่ตั้งอยู่บนเนินเขา
กลางภาพด้านหน้าล่างเป็นราชรถลากด้วยสิงโตสองตัว (คำว่าสิงโตในภาษาฝรั่งเศสพ้องกับชื่อเมืองลิยง (Lyon)) ราชรถขับโดยบุคลาธิษฐานผู้สวมมงกุฎของเมืองลิยงผู้ชายตาขึ้นไปยังสองพระองค์ที่นั่งลอยอยู่ตอนบนของภาพ รือเบินส์ต้องใช้ความระมัดระวังในการเลือกเทพที่ใช้แทนพระองค์พระเจ้าอ็องรีในการพบปะกันครั้งแรกระหว่างสองพระองค์ เพื่อที่จะไม่ให้เป็นการแสดงการหมิ่นพระบรมราชานุภาพของพระเจ้าอ็องรี แต่ขณะเดียวกันก็เป็นการแฝงนัย ที่ต้องการจะสื่อถึงคุณลักษณะความเจ้าชู้ของพระองค์
การคืนดีระหว่างพระราชินีมารีและพระเจ้าหลุยส์
Reconciliation of the Queen and her Son
การคืนดีระหว่างพระราชินีมารีและพระเจ้าหลุยส์" เทพีแห่งความยุติธรรมกำลังเข่นฆ่าไฮดราในตอนล่างของภาพโดยมีเทพแห่งความรอบคอบดูเป็นพยานอยู่ข้างหลัง ในภาพนี้สัตว์ร้ายไฮดราเป็นสัญลักษณ์ของชาร์ล ดาลแบร์ ผู้ที่ต้องมาเสียชีวิตด้วยน้ำมือของนักบุญไมเคิล ดาลแบร์ผู้นำสูงสุดทางการทหารของประเทศช่วยทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพระราชินีมารีและพระราชโอรสดีขึ้น แต่ไม่นานคองเดผู้เป็นข้าราชสำนักคนโปรดของพระราชโอรสและผู้เป็นศัตรูคนสำคัญของพระราชินีมารีก็ก้าวเข้ามาแทนที่ดาลแบร์ต พระราชินีมารีเองก็คงมีพระประสงค์ที่จะแก้แค้นให้แก่การเสียชีวิตของพระสหายคนสนิทและก็คงมีพระประสงค์ที่จะบรรยายภาพการทำลายชาร์ล ดาลแบร์โดยตรง แต่รือเบินส์เลี่ยงไปใช้อุปมานิทัศน์แทน โดยสร้างฉากความดีชนะความชั่วและสรรเสริญความปรองดองอันสันติสุขของทั้งพระองค์และพระราชโอรสเป็นการง่ายที่จะเข้าใจถึงสาเหตุที่ดาลแบร์ตถูกทำลายด้วยเทพและโยนลงไปในหลุมนรก จากการกระทำต่าง ๆ เมื่อยังมีชีวิตอยู่ที่รวมทั้งการใส่ร้ายป้ายสีพระราชินี
ในภาพนี้พระเจ้าหลุยส์ทรงเจริญพระชันษาขึ้นในรูปของเทพอพอลโล ความตายของไฮดราไม่ใช่ด้วยน้ำพระหัตถ์ของพระองค์อย่างที่คาดว่าควร จะเป็นแต่ด้วยน้ำมือของเทพีแห่งความยุติธรรม ผู้มีร่างอันกำยำอย่างสตรีอเมซอน การเข่นฆ่าดาลแบร์ตของเทพีจึงเป็นการกระทำที่ปราศจากความช่วยเหลือจากพระองค์ ผู้ไม่ไยดีต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ส่วนพระราชินีมารีก็ทรงปรากฏในภาพของมารดาผู้รักบุตรชายผู้พร้อมที่จะยกโทษให้ต่อสิ่งเลวร้ายต่าง ๆ ที่ทรงต้องทนมาตลอด
"ภาพชุดพระราชินีมารี เดอ เมดีซิส" สีน้ำมันบนแผ่นไม้
Marie_de_Medicis_as_Bellona
สัญญาจ้างการเขียน "ภาพชุดพระราชินีมารี" เดิมรวมการเขียน "ภาพชุดพระเจ้าอ็องรี" ด้วย แต่เขียนไม่เสร็จแม้ว่าจะทำการเริ่มเขียนภาพต่อจากชุดแรกในปี 1628 "ภาพชุดพระเจ้าอ็องรี" ตั้งใจเป็นภาพขนาดใหญ่ยี่สิบสี่ภาพที่จะบรรยายเหตุการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตของพระเจ้าอ็องรี "ที่ทรงประสบ, การสงครามที่ทรงเข้าร่วม, ชัยชนะที่ทรงได้รับ และการตีเมืองต่าง ๆ และทรงได้รับชัยชนะ
ภาพพระราชประวัติของพระราชสวามี พระเจ้าอ็องรีที่ 4
ไม่ได้รับการเขียนให้สำเร็จ จึงมีแต่ภาพร่างเท่านั้นที่ยังเหลืออยู่
เป็นเพราะสถานการณ์ทางการเมืองที่ผันผวนที่เกิดขึ้นในขณะนั้น เมื่อพระราชินีมารีทรงถูกห้ามไม่ให้เข้าปารีสอีกครั้ง ในปี ค.ศ. 1631 เมื่ออาร์ม็อง ฌ็อง ดูว์ เปลซี เดอ รีเชอลีเยอมามีอิทธิพลต่อพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 ( พระนางทรงหนีไปประทับอยู่ที่บรัสเซลส์ และสิ้นพระชนม์ขณะที่ประทับลี้ภัยอยู่ที่นั่น ณ บ้านเก่าของรือบินส์ ใน ค.ศ. 1642) การอนุมัติงานถูกเลื่อนไปโดยทางราชสำนักขณะนั้น และรือเบินส์ไปพำนักอยู่ที่มาดริดเพื่อเตรียมตัวในกิจการทางทูตไปยังลอนดอน เพื่อทำการเจรจาต่อรองระหว่างสเปนและอังกฤษ ทำให้รีเชอลีเยอไม่พอใจที่ไปทำงานร่วมกับฝ่ายตรงข้ามของฝรั่งเศส (อังกฤษเป็นโปตัสแตนที่ทำสงครามกับฝรั่งเศสช่วงนั้นด้วย)
ภาพร่างที่เป็นภาพของอองรีแห่งนาวาร์ทรงโค้งคำนับพระเจ้าอ็องรีที่ 3 บรรยายเรื่องเมื่อพระเจ้าอ็องรีที่ 3 ทรงถูกขับออกจากปารีสหลังจากฆาตกรรมฟร็องซัว ดุ๊กแห่งกีซแล้ว พระองค์ก็เสด็จไปพบกับอองรีแห่งนาวาร์เพื่อขอให้เข้าร่วมสงครามและให้การรับรองว่าอองรีเป็นพระมหากษัตริย์ที่ถูกต้องของนาวาร์ แม้ว่ารือเบินส์จะเขียนฉากการพบปะกันครั้งนี้ภายในท้องพระโรง แต่บันทึกกล่าวว่าทั้งสองพระองค์ทรงพบกันในสวนที่เต็มไปด้วยผู้มาดูเหตุการณ์
ภาพที่วาดไม่เสร็จ การเข้าเมืองปารีส
ภาพยุทธการครั้งสุดท้ายที่พระเจ้าอ็องรีทรงต่อสู้
ภาพนี้เป็นภาพพระเจ้าอ็องรีเสด็จเข้ากรุงปารีสในฉลองพระองค์แบบจักรพรรดิโรมันผู้ทรงถือช่อมะกอกที่เป็นสัญลักษณ์ของความสันติสุข แต่ตามความเป็นจริงแล้วพระองค์มิได้เสด็จเข้าปารีสเช่นในภาพ ฉะนั้นภาพจึงเป็นแต่เพียงสัญลักษณ์ของชัยชนะ ของพระองค์เท่านั้นที่ ฉาก (สิ่งก่อสร้างและประตูชัย) ยังไม่มีในปารีสขณะนั้นซึ่งเป็นการสร้างอุปมัยว่าพระเจ้าอ็องรี ยังเป็นพระมหากษัตริย์แห่งฝรั่งเศส(ประตูชัยถูกสร้างในปี1836- หรืออีก200 ปีต่อมา)
รือเบินส์เสียชีวิตด้วยหัวใจล้มเหลวจากโรคเก๊า เมื่ออายุ 63 ปี ร่างบรรจุไว้ที่ Saint James' church, Antwerp ประเทศเบลเยี่ยมปิดฉากศิลปินและนักการทูตที่ยิ่งใหญ่แห่งยุคบาโรค
อนุสาวรีย์ Peter Paul Rubens
ที่Antwerp, Belgium
บ้านของรูเบนส์ที่ Antwerp
"ภาพชุดพระราชินีมารี เดอ เมดีซิส" ของรือเบินส์เป็นภาพชุดที่มีอิทธิพลต่อจิตรกรอื่น ๆ ในยุคนั้นโดยเฉพาะต่อจิตรกรฝรั่งเศส อ็องตวน วาโต และฟร็องซัว ในยุครอคโคโค
เพิ่มเกล็ดประวัติศาสตร์สักหน่อย
หลังจากพระเจ้าอองรีที่4ครองราชย์ได้ปีหลังจากยึดปารีสได้ เนื่องจากความตึงเครียดระหว่างคริสนิกายยังไม่สงบ ฌ็อง ราวายัก(Jean Ravaillac)อันธพาลและนักการโรงเรียน ผู้ถือนิกายโรมันคาทอลิกอย่างสุดโต่ง เขาเข้าเป็นสมาชิกคณะสงฆ์เฟยย็อง (Feuillant) แต่พอถูกราชการคุมประพฤติ ก็ถูกขับออกจากคณะสงฆ์ ต่อมาใน ค.ศ. 1606 เขาขอเข้าเป็นสมาชิกคณะเยซูอิต (Society of Jesus) อีก แต่ถูกบอกปัด เรียกว่าอยู่วัดไหนโดนไล่ออกหมด
ฟร็องซัว ราวายัก ชูมีดที่ใช้ปลงพระชนม์ – ภาพสลักในคริสต์ศตวรรษที่ 17
วันที่ 14 พฤษภาคม ค.ศ. 1610 ราวายักไปซุ่มรอเสด็จอยู่ที่ถนนแฟร์รอนเนอรี (Rue de la Ferronnerie) ในกรุงปารีส ครั้นรถพระที่นั่งมาถึงและติดอยู่ในถนนนั้น ราวายักก็อาศัยโอกาสนี้พุ่งเข้าไปยังขบวนเสด็จ ปีนขึ้นไปบนราชรถ แล้วเอามีดจ้วงแทงพระเจ้าอ็องรีจนสิ้นพระชนม์
ราวายักถูกราชองครักษ์จับกุมตัว หลังปีนขึ้นราชรถไปแทงพระเจ้าอ็องรีที่ 4 ถึงแก่พระชนม์ – ภาพเขียนของชาร์ล-กุสตัฟ โฮเซ (Charles-Gustave Housez) คริสต์ศตวรรษที่ 19
ราวายักถูกจับกุมทันที เจ้าหน้าที่เอาตัวเขาไปไว้ยังโรงแรมเร (Hotel de Retz) เพื่อกันฝูงชนรุมประชาทัณฑ์ จากการสอบสวนราวายักให้การว่าพระเจ้าอ็องรีเตรียมเป็นศัตรูกับพระสันตะปาปา ประมุขนิกายคาทอลิก เพราะมีพระประสงค์จะย้ายศูนย์กลางคริสต์ศาสนาจากกรุงโรมมายังปารีส และเขาต้องการให้พระเจ้าอองรีเปลี่ยนพวกโปตัสแตนให้เป็นคาทอลิคทั้งหมด
เขาถูกนำตัวไปยังจตุรัสปลาซเดอแกร็ฟ (Place de Grève) ในกรุงปารีส และถูกทรมานเป็นครั้งสุดท้าย เช่น ราดด้วยน้ำมันเดือด น้ำตะกั่วหลอม ถูกคีมฉีกเนื้อ(จะเห็นอุปกรณ์ทรมานอยู่ล่างขวาของภาพ) ก่อนถูกประหารชีวิตโดยใช้ม้าสี่ตัวแยกร่าง อันเป็นวิธีประหารผู้ปลงพระชนม์พระมหากษัตริย์ ครั้นราวายักถูกประหารแล้ว บิดามารดาของเขาถูกเนรเทศ ครอบครัวของเขาถูกห้ามใช้ชื่อ "ราวายัก" อีก
พระเจ้าอ็องรีที่ 4 แห่งฝรั่งเศส หรือ พระเจ้าเฮนรีที่ 3 แห่งนาวาร์ ครองราชย์ได้11ปี
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น