ศิลปะยุคบาโรค Baroque ตอนที่ 14โคล้ด เลอ ลอแรง (Claude le Lorrain)ผู้หลงใหลแสงอาทิตย์

โคล้ด เลอ ลอแรง (Claude le Lorrain) 1602-1682 จากเด็กทำขนมกลายเป็นเจ้าแห่งแสงรุ่งอรุุณ

ภาพวาดตนเองของ Claude Gellée, dit le Lorrain, Self-portrait

 โคล้ด เลอ ลอแรงมีชื่อจริงว่าโคล้ด เจลเล (Claude Gell”e) เขาเกิดในแคว้น ลอแรน ผู้คนจึงเรียกเขาว่า Claude le Lorrain ซึ่งแปลว่า โคล้ด ชาวเมืองลอแรนนั่นเอง
 โคล้ด เลอ ลอแรง เกิดในปี 1600 ที่เมืองชามาญ (Chamagne) ในแคว้นลอแรน พ่อแม่เสียชีวิตขณะเขาอายุ 12 ปี เขาหัดทำขนม อีก 2 ปีต่อมาติดตามช่างทำขนมไปกรุงโรม ทำงานเป็นพ่อครัวให้จิตรกรชื่อ อะกอสติโน ตัสซี (Agostino Tassi) คนที่ข่มขืนอาร์เทมิเซีย เจ็นทิเลสชิ) ได้เห็นการเขียนรูปของจิตรกรผู้นี้ จึงลองเขียนดู อะกอสติโน ตัสซี เห็นแววอาร์ติสต์จึงสอนให้เขียนภาพทิวทัศน์ กรุงโรมในยุคนั้นเป็นศูนย์กลางศิลปะที่ศิลปินจากถิ่นอื่นต่างมุ่งมา ที่นี่
ภาพวาดของ Goffredo Wals  -ศิลปินใหญ่ของอิตาลีในยุคนั้นที่มีอิทธิพลต่องานของเขา
โคล้ด เลอ ลอแรงเดินทางไปเนเปิสล์ (Naples) ในปี 1617 ทำงานเป็นผู้ช่วยของกอฟเฟรโด วัลส์ (Goffredo Wals) อาร์ติสต์ที่เขียนรูปทิวทัศน์ เขาอยู่ที่นี่จนถึงปี 1621 แล้วเดินทางไปฝรั่งเศส สวิส และบาวาเรีย ก่อนกลับไปเขียนรูปที่โรม

ภาพวาดในยุคแรกๆ1631

'Landscape with a Piping Shepherd' c. 1629-32



ภาพวาดเส้นปากกาและหมึกของเขาก่อนจะถ่ายทอดเป็นภาพสี

vue sur la trinite des monts-national 1632 

Evening in Italy เป็นภาพที่แสดงถึงความหลงใหลต่อบรรยากาศแสงอาทิตย์ยามเย็นและสถาปัตยกรรมของโรมได้อย่างสวยงาม งานของเขาแนวนี้มีอิทธิพลต่อศิลปยุคโรคโคโคในเวลาต่อมา


การตัดสินของเจ้าชายปารีส 1633


'Coast Scene with Europa and the Bull',1634 ภาพนิยายเทพเจ้าตอนซีอุสปลอมเป็นวัวงามลักพาตัวนางยูโรปา ตำนานการเกิดทวีปยุโรป เป็นภาพแจ้งเกิดของเขาในยุคแรก

ช่วงแรกนั้นชีวิตค่อนข้างลำบาก ทว่าเริ่มมีชื่อเสียงในปี 1634 แม้จะเขียนแต่ภาพทิวทัศน์ของกรุงโรมและทัศนีย-ภาพนอกเมืองกรุง ซากปรักหักพัง ต้นไม้ ฝูงสัตว์ แต่ความโดดเด่นอยู่ที่ “แสง” ในภาพเขียนของเขา ผลงานของโคล้ด เลอ ลอแรงต้องพระทัย สันตะปาปาอูร์แบงที่ 8 (Urbain VIII) จึงให้เขียนรูปให้ในปี 1639 คือภาพ Paysage avec vue de Castel Gandolfo

Paysage avec vue de Castel Gandolfo 1639

ภาพของโปปUrbanที่8 เป็นนักสะสมศิลปะและเป็นผู้สนับสนุนศิลปินในอิตาลีให้เฟื่องฟู
ภาพนี้เขียนโดยจิตรกรและสถาปนิกอิตาลีชื่อ Pietro berrettini เพื่อนของเบอร์นินี

 La campiña romana,1639

Seaport at sunset (1639), Louvre

El embarco de Santa Paula Romana, 1639-1640

Côte vue avec  Apollon et la Sibylle de Cumes 

ช่วงปลายทศวรรษ 1640 ผลงานเด่นของเขาคือ Paysage avec Apollon et les muses แม้จะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเทพเจ้าแต่ก็ยังคงลักษณะภาพทิวทัศน์ที่ชัดเจนอยู่ ต่างจากศิลปินในยุคนั้น



 ในการเขียนภาพทิวทัศน์ โคล้ด เลอ ลอแรงจะออกนอกสถานที่ เพื่อจับตาดูแสงที่แปรเปลี่ยนในแต่ละช่วงของวัน แล้วจึงถ่ายทอดลงเป็นภาพ แน่นอนว่ายุคนั้นกล้องยังไม่เกิด จึงต้องสร้างบรรยากาศจากความทรงจำให้ดูเหมือนจริงที่สุดโดยเฉพาะช่วงดวงอาทิตย์ขึ้นและตก ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สั้นมาก

 Amanecer,1646–47

a mediterranean se  marine

แรกทีเดียวโคล้ด เลอ ลอแรงเขียนภาพเมืองท่าที่เขาจินตนาการเองบ้าง วาดจากของจริงบ้าง ผลงานช่วงนี้ส่วนหนึ่งมีอยู่ที่พิพิธภัณฑ์การเดินเรือ  ในกรุงปารีส หลังจากนั้นเขาหันมาเขียนภาพเกี่ยวกับเทพนิยายกรีก และคัมภีร์ไบเบิล เช่น ภาพ Apollon et la sibylle de Cumes, Mariage d’Isaac et Rebecca, Jacob et les filles de Laban, D”barquement de Cl”opatre, Ulysse remet Chrys”is a son pere เป็นต้น

 Landscape with Apollo Guarding the Herds of Admetus and Mercury stealing them (1645),

The Embarkation of the Queen of Sheba 1648

Akis ha Galateia, (1657)

Landscape with the Rest on the Flight into Egyp 1666 การลี้ภัยไปอียิปต์ที่ศิลปินนิยมวาดกันมากในยุคบาโรค





 landschaftsbild mit chrisus der maria magdalena erscheint_1681 เป็นเรื่องของนางมาเรีย แมกดาเลนติดตามพระเยซู

 Ascanius Shooting the Stag of Sylvia_1682 ภาพวาดในช่วงปีสุดท้ายของชีวิตเป็นเรื่องของกษัตริย์แห่งโรมในอดีตผู้สืบเชื้อสายมาจากอีเนียส(Aeneus) ราชวงศ์กรุงทรอย คืออัสตานิอุส (Ascanius) ได้ไปสร้างเมืองใหม่ ชื่อ อัลบาลองกา (Albalonga) แปลว่า เมืองยาวสีขาว ครอบครองมาเป็นเวลาถึง 300 ปี



โคล้ด เลอ ลอแรงให้ความสำคัญกับแสง ภาพของเขามีความลึก ไม่แบนๆแบบยุคเรอแนสซองส์ (Renaissance) ภาพเขียนของเขามีอิทธิพลต่อจิตรกรฝรั่งเศส ฮอลแลนด์และอังกฤษ โดยเฉพาะ อย่างยิ่งวิลเลียม เทอร์เนอร์ (William Turner)ศิลปินยุคโรมันติค และ ริชาร์ด วิลสัน (Richard Wilson) 

Landung der Kleopatra in Tarsos 1642

ระหว่างมาเที่ยวฝรั่งเศส วิลเลียม เทอร์เนอร์ได้เห็นภาพเขียนของโคล้ด เลอ ลอแรง ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ (Louvre) เขาประทับใจภาพ Landung der Kleopatra in Tarsos จนเกิดแรงบันดาล ใจเขียนภาพ Le d”clin de l’empire carthaginois ผสมผสานประวัติศาสตร์และธรรมชาติเข้าด้วยกัน

เปรียบเทียบภาพ Le d”clin de l’empire carthaginois วาดโดยวิลเลียม เทอร์เนอร์ จากอิทธิพลภาพของลอแรง

วาดโดย Richard Wilson - Italian Landscape (Morning)1760-1765
vue de l'Estaque” 1885โดยเซซาน
อิทธิพลการเขียนภาพของเขาได้ส่งต่อมายังปอล เซซานน์ (Paul C”zanne) เริ่มแยกตัวออกจากจากกลุ่มอิมเพรสชั่นนิสต์ด้วยการเขียนภาพด้วยโครงสร้างแบบเดียวกับโคล้ด เลอ ลอแรง ดังในภาพ Vue de l’Estaque

ช่วงหลังชีวิตจากคนทำขนมขายได้มาเป็นศิลปินผู้มีชื่อเสียง แม้ชื่อเสียงนำมาซึ่งเงินทอง แต่โคล้ด เลอ ลอแรงใช้ชีวิตเรียบง่าย ช่วยเหลือคนจน เขาถึงแก่กรรมในปี 1682 บ่งในพินัยกรรมให้ประกอบพิธีศาสนาในบ้านเกิด ของเขาในลอแรนด้วย ศพของเขาฝังที่โบสถ์ แซงต์-หลุยส์-เดส์-ฟรองเซส์ (Saint-Louis-des-Fran”ais) ในอิตาลี



200กว่าปีต่อมา ประติมากรโอกุสต์ โรแดง (Auguste Rodin-ศิลปินอิมเพรสชั่นนิสซ์ ชาวฝรั่งเศส) ปั้นรูปโคล้ด เลอ ลอแรงซึ่งตั้งอยู่ที่สวนสาธารณะ Parc de la P”pineie ที่เมืองนองซี (Nancy) เพื่อระลึกถึงศิลปินผู้ยิ่งใหญ่แห่งฝรั่งเศส แม้ร่างเขาจะฝังอยู่ที่อิตาลีถิ่นที่สร้างชื่อให้เขา

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ศิลปะยุคกรีก

ศิลปะยุค โรโกโก ตอนที่1 ศิลปแห่งความอ่อนหวานและรุงรัง

ศิลปะยุคบาโรค Baroque ตอนที่ 17 โยฮัน เฟอร์เมร์ (Johan Vermeer) ผู้สร้างภาพถ่ายในยุคทองของบาโรคเนเธอแลนด์