เรอเนสซองค์ ตอน 4 นอกแดนอิตาลี ปีเตอร์ เบรอเคิล Pieter Bruegel the Elder


ไหนๆก็กล่าวพาดพิงถึงเขาไปแล้ว เลยลงมาคุยกับแกดีกว่า 

 ปีเตอร์ เบรอเคิล ผู้พ่อ Pieter Bruegel the Elder; ศิลปินรากหญ้าเพื่อชีวิต


 Pieter Bruegel the Elder เป็นจิตรกรชาวเฟลมิชของสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาแบบดัตช์และเฟลมิช เบรอเคิลมีชื่อเสียงในด้านการเขียนจิตรกรรมภูมิทัศน์และภาพชีวิตประจำวันโดยเฉพาะ ของเกษตรกร ที่ทำให้ได้รับสมญาว่า "Peasant Bruegel" เขาเป็นศิลปินฝึกงานที่แอนต์เวิร์ปซึ่งเป็นเมืองศิลปะที่เฟื่องฟูเปรียบเหมือนฟลอเรนซ์ในโรมต่อมาได้ เป็นสมาชิกที่ในสมาคมช่างนักบุญลูกา (Guild of St. Luke) จนได้เป็นศิลปินเต็มตัวด้วยอายุเพียง26ปี

ภาพนักบุญลูควาดภาพพระแม่มารี โดย นิเคลาส์ มานูเอล (Niklaus Manuel)

 สมาคมช่างนักบุญลูกา (อังกฤษ: Guild of Saint Luke) เป็นชื่อที่ใช้กันโดยทั่วไปสำหรับสมาคมช่างจิตรกรและศิลปินอื่น ๆ ทางตอนเหนือของยุโรป เป็นชื่อที่ตั้งเป็นเกียรติแก่นักบุญลูกา ผู้นิพนธ์พระวรสาร ที่ตำนานกล่าวกันว่าเป็นผู้วาดภาพเหมือนของพระแม่มารีย์ ฉะนั้นนักบุญลูกาจึงกลายมาเป็นนักบุญองค์อุปถัมภ์จิตรกร และศิลปินโดยทั่วไป สมาคมช่างนักบุญลูกาไม่แต่เพียงเป็นผู้แทนจิตรกร ประติมากร และทัศนศิลปิน แต่ยังรวมถึงผู้ค้าขายศิลปะ, ศิลปินสมัครเล่นและแม้แต่ผู้รักศิลปะด้วย
    
 ต่อมาเข้าร่วมทำงานสำนักพิมพ์ ศิลปินกราฟิก ฮีเยโรนีมึส โกก ( Hieronymus Cock ) ซึ่งเขาทำภาพวาดสำหรับการแกะสลัก โกก ขายงานภาพพิมพ์ของเบรอเคิลหลายพันชิ้นทั่วทั้งยุโรป แล้วส่งเขาไปศึกษางานฟื้นฟูศิลปวิทยาที่อิตาลี


ภาพพิมพ์นาย ฮีเยโรนีมึส โกก (Hieronymus Coc)เจ้าของสำนักพิมพ์ เจ้านายของปีเตอร์ เบรอเคิล






งานลายเส้นดินสอและงานที่พิมพ์ขายเป็นเทน้ำเทท่าของเขา

       
 หลังจากศึกษางานของผู้เชี่ยวชาญงานสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา แล้วกลับมาทำงานให้นายโกก อีก 2 ปี แล้ว เบรอเคิล เปลี่ยนเป็นวาดภาพสี (ไปดูงานมาแล้วเกิดใจฟูไอเดียกระเจิง) เขามีผู้อุปถัมภ์มั่งคั่งที่เป็นพ่อค้า และนักภูมิศาสตร์ผู้มีชื่อเสียง ที่ชื่นชอบงานของเขา



    ใน พ.ศ. 2105 เบรอเคิล วาดภาพ "ชัยชนะของความตาย "
  มนุษยชาติถูกโจมตีโดยกองทัพแห่งความตาย ความตายไม่แบ่งแยก เขาเชิญพระราชารวมทั้งหลวงพ่อของโบสถ์ไปการเต้นรำแห่งความตาย ของเขา เขาไม่แบ่งระหว่างความเชื่อทางศาสนา ความสนใจในการเมือง รวยและจน หรือระหว่างอายุน้อยและอายุมาก







 โลกกำลังมาถึงจุดจบ ในการเต้นรำแห่งความตายที่น่ากลัว การเต้นรำแห่งความตายเป็นลักษณะสำคัญโบราณซึ่งถูกใช้โดยศิลปินหลายท่านก่อนเบรอเคิล  แต่ไม่เคยมีความตายเกิดขึ้นกับมนุษยชาติในจำนวนมากเช่นนี้ งานของเบรอเคิลสะท้อนความกลัวของวันนั้นว่าการสิ้นสุดของโลกใกล้มาถึงอย่างน่าประทับใจ




 หลังวาดภาพ "ชัยชนะของความตาย" เบรอเคิลย้ายไปบรัสเซลส์ เมืองหลวงคาทอลิกของเนเธอร์แลนด์ (ในยุคนั้นยังไม่เเยกประเทศเป็นเบลเยี่ยม) เขาถูกกล่าวหาว่าย้าย เพื่อทำให้ภรรยาอายุน้อยของเขาพอใจ ( ตอนนั้นเขาน่าจะอยู่ในชุมชนของพวกศรัทธาโปตัสแตน ซึ่งเป็นที่เพ่งเล็งของทางการ ) เพราะเขาเข้าข้างโปตัสแตน กลัวว่าจะไม่ปลอดภัยจากการไล่ล่าของฝ่ายคาทอลิค

 ในบรัสเซลส์ ศิลปินอยู่ได้ดีจากลูกค้าคาทอลิกของเขา ที่ส่วนมากจะเป็นคนรวยในเมือง เบรอเคิล หลีกเลี่ยงการเข้าข้างนิกายโปตัสแตนอย่างเปิดเผย ทำให้ชีวิตเขาปกติสุข



     ภาพทิวทัศน์งานวาดเส้นดินสอที่เขาถนัด



   เขายังผูกพันกับสภาพชนบทเกี่ยวกับวิถีชาวบ้านที่เขาวาดจนเป็นแนวทางของเขา    ซึ่งผู้จ้าง ก็ไม่ใช่เจ้าขุนมูลนายอะไร

    เขาทำภาพชุดฤดูกาลที่เกี่ยวกับชนบท 6 ภาพ ปัจจุบันเหลืออยู่แค่ 5 ภาพ

    คนล่าสัตว์ในหิมะ (The Hunters in the Snow)

    การเกี่ยวหญ้า (The Hay Harvest)

    การต้อนฝูงสัตว์กลับบ้าน ( The Return of the Herd)

    วันหมองหม่น ( The Gloomy Day)

    คนเกี่ยวข้าว ( the harvest )

ภาพ "คนเกี่ยวข้าว" เขียนขึ้นในปี ค.ศ. 1565 ปัจจุบันตั้งแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโพลิทัน ในนครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เป็นภาพเขียนสีน้ำมันบนไม้ที่เป็นหนึ่งในชุดที่มีด้วยกันหกภาพ ที่ยังคงเหลืออยู่ห้าภาพ แต่ละภาพในชุดเป็นภาพของช่วงเวลาต่าง ๆ ของปี ภาพเขียนนี้ก็เช่นเดียวกับภาพเขียนของเบรอเคิลส่วนใหญ่ ที่เป็นภาพของชีวิตของเกษตรกรและงานเกษตรกรรม  ในภาพนี้จะเห็นเกษตรกรบางคนก็ทำงานเก็บเกี่ยวอยู่ในทุ่ง แต่บางคนก็นั่งกินอาหาร ซึ่งเป็นการแสดงลักษณะของเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้อง และมีผลต่อเนื่องกัน  เช่นในภาพนี้ที่เป็นการผลิตอาหารเพื่อการบริโภค




    ภาพ "งานแต่งงานของชาวนา" Peasant Wedding
        เขียนในช่วงบั้นปลายชีวืต เป็นงานจิตรกรรมหนึ่งในหลายชิ้นของเบรอเคิลที่บรรยายชีวิตของชาวไร่ชาวนา เจ้าสาวนั่งอยู่หน้าพิดานสีเขียวกลางห้อง แต่เจ้าบ่าวไม่ทราบว่าเป็นผู้ใด ซึ่งอาจจะเป็นชายแต่งดำที่นั่งถือเหยือกเบียร์ทางซ้ายสุดของภาพ ทางด้านขวาเป็นกลุ่มนักดนตรี ด้านหน้ามีเด็กนั่งเลียชาม


    ภาพเจ้าสาวกำลังนั่งปลื้ม

 
       ญาติผู้ใหญ่ผู้สุขุม กำลังคุยกัน


    งานนี้ไหเหล้าหมดเป็นเข่ง


 นักดนตรีคงเป่ามาแต่เช้า ตอนนี้ชำเลืองอาหารที่กำลังยกมา เป็นจุดเด่นของภาพ

    งานเลี้ยงจัดในโรงนาที่มีมัดฟางสองมัดและคราดห้อยอยู่อยู่บนผนังทางขวาของพิดาน   เพื่อเป็นเครื่องเตือนถึงฤดูเก็บเกี่ยวและความรับผิดชอบของเกษตรกร ด้านหน้าของภาพทางขวาเป็นชายสองคนแบกอาหารที่ตั้งบนแคร่ที่ทำด้วยประตูที่ถอดมา อาหารหลักที่เห็นก็มีขนมปัง ข้าวต้มจากธัญพืช (porridge) และซุป

เป็นภาพที่แสดงง่ายๆอย่างเปิดเผย เป็นกันเอง แฝงอารมณ์ขันซึ่งจะเห็นอยู่ในงานเขาหลายภาพ  บรรยากาศเหมือนเราเป็นแขกที่มาในงานกับเขาด้วยเลย



ภาพหอคอยบาเบล The Tower of Babel
   เป็นภาพที่มีชื่อเสียงของเขา  เขียนจากคัมภีย์โบราณ เกิดจากความสามัคคีของมนุษย์ ภายหลังเหตุการณ์น้ำท่วมโลก จากลูกหลานของโนอาห์ ได้ขยายพงศ์พันธุ์แผ่ไพศาลออกไป แต่ทั่วทั้งโลกต่างพูดภาษาเดียวกัน และมีศัพท์สำเนียงเดียวกัน ผู้คนในยุคนั้นจึงได้ร่วมกันสร้างหอบาเบล โดยมีความมุ่งหมายเพื่อที่จะสร้างเป็นหอเทียมฟ้า สร้างชื่อเสียงไว้ และเป็นแหล่งรวมอารยธรรมของมนุษย์ไว้ด้วยกัน

การสร้างหอบาเบล เป็นการสร้างความภาคภูมิใจให้กับมนุษยชาติ ซึ่งความภาคภูมิใจนี้ ก็นำมาซึ่งความหยิ่งผยอง คิดท้าทายพระเจ้า ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าจึงทรงบันดาลให้เกิดภาษาที่แตกต่างกัน ทำให้มนุษย์สื่อสารกันไม่เข้าใจ การก่อสร้างหอบาเบลจึงหยุดชะงักลงเพียงนั้น




ขยายภาพให้เห็นเครื่องมืออุปกรณ์ก่อสร้างในยุคนั้น เป็นปั้นจั่นยกของขึ้นที่สูง


ภูมิทัศน์และอิคารัสปีกหัก (อังกฤษ: Landscape with the Fall of Icarus)ภาพที่มีชื่อเสียงอีกภาพหนึ่งที่แฝงข้อคิดไว้  

                  ในตำนานเทพเจ้ากรีก อิคารัสสามารถบินได้ด้วยปีกที่สร้างโดยดีดาลัส (Daedalus) ผู้เป็นพ่อ โดยสร้างปีกด้วยขนนกติดกันด้วยขี้ผึ้ง ก่อนที่จะบิน ดีดาลัสเตือนลูกชายไม่ให้บินเข้าใกล้พระอาทิตย์หรือทะเลจนเกินไป แต่ด้วยความตื่นเต้น
อิคารัสก็บินสูงขึ้นจนใกล้พระอาทิตย์ ความร้อนของพระอาทิตย์ก็ละลายขึ้ผึ้งที่เชื่อมขนนกบนปีกของอิคารัส เมื่อไม่มีปีกอิคารัสก็ตกจากท้องฟ้าลงไปทะเลและจมน้ำตาย ในภาพ "อิคารัสปีกหัก" ขาของอิคารัสยังคงโผล่อยู่เหนือน้ำทางมุมล่างขวาของภาพไม่ไกลจากเรือ แต่พระอาทิตย์เกือบตกดินแล้ว ซึ่งทำให้ดูเหมือนว่าอิคารัสไม่มีโอกาสบินเข้าใกล้พระอาทิตย์ ตามที่กล่าวในตำนานได้


   งานชิ้นนี้ไม่เป็นที่รู้จักกันจนกระทั่งเมื่อได้รับการซื้อโดยพิพิธภัณฑ์ในปี ค.ศ 1912. ภาพนี้เป็นภาพเขียนภาพเดียวของเบรอเคิลที่เป็นภาพจากตำนานเทพ และเป็นภาพเดียวที่เป็นภาพเขียนสีน้ำมันบนผ้าใบ งานเขียนชิ้นอื่นเป็นงานที่เขียนด้วยสีฝุ่น ทัศนมิติระหว่างเรือและบุคคลในภาพดูไม่สมส่วน แต่อาจจะเป็นจุดที่สร้างพลังให้แก่องค์ประกอบของภาพ นอกจากนั้นเบรอเคิลก็ยังสร้างแบบสำหรับการแกะภาพพิมพ์ที่มีเรือและร่างที่ตกลงมาสองร่าง

  คนไถนา คนเลี้ยงแกะ และคนหาปลากล่าวถึงในตำนานของโอวิด(คนแต่ง) ที่ในภาพดูจะไม่สนใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเท่าใดนัก ตามความเห็นของดับเบิลยู. เอช. ออเดน ภาพเขียนนี้อาจจะเป็นภาพของความไม่ยินดียินร้ายของมนุษย์ในความทุกข์ยากที่เกิดขึ้น โดยการเน้นถึงเหตุการณ์อื่น ๆ ที่เกิดขึ้นรอบข้างที่ยังคงดำเนินต่อไป แม้ว่าจะมีเหตุการณ์อันร้ายแรงที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา เมื่ออิคารัสจะตกลงมาถึงแก่ชีวิต

  เขาวาดเด็กกำลังปีนต้นไม้อยู่ริมรั้ว เหมือนจะตกต้นไม้ เป็นภาพแฝงขบขันของเขาล่ะ



    ภาพลายเส้นของเขา





    ภาพ Elder the fall of the rebel angels
       วาดในปี   1562 เป็นงานชุดเดียวกับชัยชนะแห่งความตาย เขาเคยทำเป็นภาพทำนองนี้เป็นภาพพิมพ์ให้กับเยโรนีมึส โกก (Hieronymus Cock)เป็นเรื่องเกี่ยวกับเทวดาตกสวรรค์ คุณธรรมความดีกับความชั่ว ที่โดนชำระบาป


    The Procession to Calvary เป็นชุดงานเกี่ยวกับศาสนาของเขา รูปนี้เป็น 1 ใน 16 ชิ้นที่ทำให้ผู้สะสมที่แอนต์เวิร์ป ลักษณะภาพออกดรามา พระมารีกำลังเป็นลมโดยมีเซนต์จอร์นคอยประคองเป็นจุดเด่นที่มีสัดส่วนขนาดใหญ่กว่าปกติ


 ไม่นานก่อนความตายของเขา เขาเผาภาพวาดเหน็บแนมพวกคาทอลิกและเอกสารต่าง ๆ หวังที่จะช่วยภรรยาและลูก ๆ ของเขาจากผู้สอบสวนชาวสเปน (โรมันคาธอลิค) เขามีบุตรชาย 2 คนเมื่อ ลูกคนเล็กอายุได้ 3 ขวบ เบรอเคิลก็ตายจากไปบุตรชายทั้ง 2 คนได้ลอกเลียนการวาดแบบพ่อและมักจะร่วมงานกับรูเบนส์ มีส่วนสำคัญในการเปลี่ยนแปลงศิลปในยุคบาโรคของเฟรมมิส



    ภาพลายเส้นโดยพ่อ Bruegel Pieter the elder ส่วนภาพสีลูกชาย Pieter Brueghel The Younger มาทำทีหลัง


                                                                                                           by yuttavitcho.

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ศิลปะยุคกรีก

ศิลปะยุค โรโกโก ตอนที่1 ศิลปแห่งความอ่อนหวานและรุงรัง

ศิลปะยุคบาโรค Baroque ตอนที่ 9 Gian lorenzo Bernini ผู้เสกหินอ่อนให้หายใจได้